Monthly Archives: July 2013

พื้นที่ส่วนตัว 20130723

บทความดี ๆ สำหรับคนทำงาน

โลกใบนี้ คนทุกคนต้องทำงานทั้งนั้น เพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้องตัวเอง คนอื่น ๆ รอบตัว

เราต้องทำงานกันทุกปี ๆ ละ 365 วัน วันละ มากกว่า 10 ชั่วโมงเป็นอย่างต่ำ

การเปรียบเทียบว่าจักรวาลกว้าง 1 x 1 เมตร ของใครของมันนั้น เห็นภาพได้ชัดว่า เราจะทำให้การทำงานนั้นมีความสุขได้อย่างไร

ข้อคิดดี ๆ เคยเขียนว่า “จงรักงานที่ทำ เพราะเมื่อนั้น คุณจะโชคดีที่สุดที่ไม่ต้องทำงานอีกเลยทั้งชีวิต คุณจะได้ทำสิ่งที่คุณรักตลอดไป”

มันฟังดูเก๋ เท่ห์ แต่มันต้องแล้วแต่ว่าเราจะมองมันจากอะไร

สามตัวอย่างนี้ อาจจะเป็นประกายความคิดของพวกเราไม่มากก็น้อย

ผมกำลังจะไปหาอีก 22 คนนั้นมาอ่านต่อ….

พื้นที่ส่วนตัวของทุกคนนั้นเท่ากัน เราจะเอาความสุข หรือ ความทุกข์ยัดมันเข้าไปเพื่อให้มันอยู่กับเราล่ะ…

เรื่อง “พื้นที่ส่วนตัว” นี้ ได้แรงบันดาลใจมาจากหนังสือ “จักรวาล 1×1 เมตร” วาด-เขียนโดย ม.ย.ร.มะลิ (สำนักพิมพ์วงกลม) ด้วยการจัดวาง การใช้ภาษาที่อ่านง่าย กับภาพประกอบน่ารักที่ทำให้ดิฉันตัดสินใจซื้อหนังสือเล่มนี้ ได้ไม่ยากนัก พออ่านแล้วก็ยิ่งทำให้รู้สึกคล้อยตามได้ง่าย แบบสบายๆ ผู้เขียนสามารถทำให้คนอ่านที่คุ้นเคยกับ ซอยทองหล่อต้องอมยิ้ม หรือหากบังเอิญผ่านไปแถวนั้น คงอดไม่ได้ที่จะมองหาบุคคลที่ถูกกล่าวถึงในหนังสือเล่มนี้
ในที่นี้ดิฉันขอนำมาเล่าต่อเพียงส่วนหนึ่งของแต่ละ “นัก” จาก 25 อาชีพที่ผู้เขียนได้เขียนเอาไว้ เริ่มต้นด้วย คำโปรยที่ชวนติดตามว่า “จักรวาล 1×1 เมตร บางทีแค่โต๊ะทำงานเล็กๆ หรือแค่โซฟานุ่มๆ ที่เรานั่งดูทีวีทุกวันก็ใหญ่พอแล้ว ที่จะเป็นจักรวาลของคนๆ หนึ่ง เราต่างก็ยิ่งใหญ่ในจักรวาลของเรา จักรวาลใครจักรวาลมันนะคะ”
นักเย็บผ้า
“พี่เกลียดที่สุดเลยการเย็บผ้า” ประโยคนี้ของนิไลลาทำเอาฉันอึ้งไปเลย
นี่ฉันกำลังพูดอยู่กับนักเย็บผ้าใช่ไหมคะ
นิไลลาผู้เกลียดการเย็บผ้าเรียนจบคหกรรมศาสตร์ สาขาเสื้อผ้าและเครื่องแต่งกายจากเทคนิคกรุงเทพฯ ได้รับ คำชมเรื่องฝีมืออันไม่เป็นรองใคร
“ตอนนั้นพี่ต้องทำงานให้ได้ดี เพราะจะเอาคะแนนเก็บ ตอนนี้พี่พยายามทำใจให้สนุกกับงาน แล้วพี่ก็รักงานไปเอง จริงนะคะคุณน้องมันรักไปเอง”
ก่อนหน้านั้น นิไลลาเคยทำงานในสตูดิโอถ่ายภาพแต่งงาน ผ่านมาแล้วแทบทุกร้านในซอยทองหล่อ เพราะ เคยผ่านงานแก้ชุดเจ้าบ่าวเจ้าสาวมาแล้ว งานที่เจออยู่ทุกวันนี้ก็นับว่าไม่ยาก นิไลลาตั้งจักรเย็บผ้าอยู่ข้างถนนตรงหน้ามัสยิดดอฮีรุ้ลอิสลาม ซึ่งการได้อยู่ตรงนี้นอกจากจะมีรายได้เลี้ยงตัวได้แล้ว ยังได้ทำงานให้ศาสนา มีงานบุญก็เข้าไปช่วยงานได้ ไอแดดคือ อุปสรรคในการทำงานอย่างหนึ่ง แต่ตอนเข้าไปทำละหมาดในสุเหร่า ก็ถือว่าได้พักไปในตัว
ส่วนคติในการทำงานของนิไลลานั้น เธอบอกทันทีแทบไม่ต้องคิดว่า
“พูดกับลูกค้าดีๆ”

นักปิ้งกล้วย
“พี่เรียกลูกค้ายังไงคะ”
“ไม่ได้เรียก ยืนขายอย่างนี้แหละ ก็มาเรื่อยๆ”
ก็จริงค่ะ ฉันมองดูจนทั่วร้านแล้ว ไม่เห็นมีนางกวัก ไม่เห็นมีต้นไม้นำโชค หรือปลาตะเพียนทำมาค้าขึ้น แต่อย่างใด
“เทคนิคอยู่ที่การย่าง ปิ้งกล้วยต้องใจเย็น รู้จังหวะไฟแรง ไฟอ่อน”
“วิธีปิ้งกล้วยที่ดีที่สุดทำไงคะ”
“ก็ปิ้งให้สุก”
พูดยังกับจะกวนอารมณ์กันเลยนะคะ
“ขั้นตอนมันก็แค่นี้ ไม่ยาก ไม่ง่าย แต่ปิ้งไม่เป็น กล้วยฝาด ข้างนอกไหม้ข้างในไม่สุก ย่างเกินก็เละ ต้องมอง กล้วยออก ผมทำมานานครับ
นักปิ้งกล้วยชื่อพี่ตรี ขายกล้วยปิ้งอยู่หน้าร้านหมอฟันมาแล้ว 5 ปี แฟนขายอยู่แถวพระโขนง และก่อนหน้านี้ ก็ช่วยพี่ชายขายอยู่แถวสำโรงมาก่อน น้ำจิ้มสูตรเด็ดที่ลูกค้าติดใจเป็นฝีมือของพี่ชาย จบท้ายเรื่องของนักปิ้งกล้วยที่ว่า
“นี่พี่ยืนทั้งวัน ไม่เมื่อยเหรอคะ”
“ไม่เมื่อยครับ สู้! เลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ได้ ทำสืบไป…ให้ลูก”

นักต้มเฉ่า
พี่ตุ๋ย (อายุ 45 ปี) ได้วิชาต้มเฉาก๊วยมาจากคนจีนค่ะ
อาจารย์ของพี่ตุ๋ยเป็นอากงท่านหนึ่งที่ไม่มีใครดูแล วันหนึ่งพี่ตุ๋ยช่วยหามไปส่งโรงพยาบาล จากนั้นก็ช่วยดูแลอยู่อีกถึงแปดปี อากงจึงยอมบอกวิชา
“เฉาก๊วยต้มทีหกชั่วโมง เฮ้อ! ต้มนาน ทำยาก ต้องวัดน้ำ วัดไฟ ไฟแรงไม่ได้ ไฟอ่อนไม่ได้ ทุกอย่างต้องสมดุล”
พี่ตุ๋ยเป็นคนสุภาพ พูดเสียงเบา แถมเวลาพูดยังชอบหันหน้าไปทางอื่นด้วย แต่ยามที่เขาพูดเรื่องต้มเฉ่านี้ เขาหันมาสบตาฉันและมีน้ำเสียงน้ำใจ ซึ่งเป็นกิริยาที่แว๊บขึ้นมาให้ฉันเห็นทุกครั้ง ยามที่ฉันบุกรุกเข้าไปใน ‘จักรวาล 1×1 เมตร’ แต่ละแห่ง ฉันว่ามันเป็น ‘ความภูมิใจอยู่ในตัว’ ของมืออาชีพค่ะ
สมัยนี้เฉาก๊วยขายไม่ค่อยดีเหมือนก่อน โดยเฉพาะตอนฝนตก หรือที่อากาศหนาว พี่ตุ๋ยจึงต้องขายเต้าฮวยน้ำขิงเพิ่มอีกอย่าง น้ำขิงนี้เป็นสูตรของพี่ตุ๋ยเอง ซึ่งจะปรับเปลี่ยนไปตามวันในสัปดาห์
วันอาทิตย์และวันจันทร์น้ำขิงจะเผ็ดมาก เพราะเป็นวันตลาดนัดมีคนแก่มาซื้อเยอะ…
ส่วนวันที่เหลือ รสน้ำขิงจะละมุนละไมให้นางพยาบาลกินได้
เมื่ออ่านหนังสือเล่มนี้จบ รู้สึกได้เลยว่าโลกนี้ช่างน่ารื่นรมย์ เรื่องราวน่ารักๆ ชีวิตที่มีทั้งความสุข และความทุกข์ เป็นเรื่องปกติที่ใครๆ ก็พบเจอ เพียงแค่เราเปิดโอกาสให้ตนเองได้รู้จักมองคนอื่นบ้าง ก็จะได้พบสิ่งใหม่ๆ ในมุมที่เราอาจ ไม่เคยคิด หรือมองข้ามไป สิ่งที่ดิฉันได้ค้นพบคือ
• ทุกคนมีคุณค่าในงานของตนเอ มีจักรวาลของตนเอง ไม่ว่าจะมีพื้นที่เท่าไรก็ตาม
• ทุกคนย่อมมีความรู้ ทักษะ และประสบการณ์ในงานของตนเอง เมื่อเกิดปัญหาก็สามารถแก้ไขได้ หรือต่อยอดสร้างสรรค์ให้ดียิ่งขึ้นได้
• ทุกคนต่างมีจุดมุ่งหมายในการทำงาน ที่ไม่จำเป็นต้องเหมือนกับใคร
• สำคัญที่สุด เมื่อรัก และมีทัศนคติที่ดีในงานที่ตนเองทำ ย่อมประสบความสำเร็จ และมีความสุข
หากจะถามว่า…ในวันนี้พื้นที่ส่วนตัวที่คุณอยู่ได้กลายเป็นจักรวาลของ คุณแล้วหรือยัง? แล้วคุณรู้จักจักรวาลของคุณดีแค่ไหน? และถ้าคุณรู้สึกอึดอัด ไม่สบายกับสิ่งที่ทำ ที่เป็น คุณพร้อมหรือยัง? ที่จะออกไปค้นหาจักรวาลใหม่ที่เป็นของตัวคุณเองอย่างแท้จริง

 

Credit ภัทรียา กลางณรงค์ / pattareeya@ftpi.or.th

ทำงานกับเจ้านาย ให้งานสำเร็จ และมีความสุข

บทความดี ๆ จากสถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ หลาย ๆ คนเป็นทั้งเจ้านายและลูกน้องในเวลาเดียวกัน
การสับสนในบทบาทจึงอาจเกิดขึ้นได้
เข้าใจเจ้านาย(หัวหน้า) และ เข้าใจตัวเองให้ดี
เมื่อทุกอย่างผสมกลมกลืน มันก็จะลื่นไปเอง
อาจจะไม่ต้องมาใช้พัฒนาสถานที่แห่งนี้ แต่ที่อื่น ๆ อาจจะช่วยได้…

ทำงานกับเจ้านาย ให้งานสำเร็จ และมีความสุข
ยุธิชล ศรีตัญญู / yutichol@ftpi.or.th

ชีวิตจริงในการทำงานของแต่ละคนย่อมหนีไม่พ้นคำว่า “เจ้านาย” กับ “ลูกน้อง” การทำงานร่วมกับเจ้านาย ให้ได้งาน และมีความสุขนั้น ต้องทำให้สุขร่วมกันทั้ง 2 ฝ่าย คือ เรามีความสุขในการทำงาน และขณะเดียวกันเจ้านาย ก็มีความสุขด้วย งานถึงจะราบรื่น และประสบความสำเร็จ ความยากอยู่ตรงที่จะทำอย่างไรให้มีความสุขกันทั้ง 2 ฝ่าย แน่นอนเราไม่สามารถเปลี่ยนเจ้านายได้ แต่เราสามารถเปลี่ยนตัวเองได้
ปัญหาที่เกิดขึ้นมักเกิดจากมุมมองที่แตกต่างกันระหว่างเจ้านายกับลูก น้อง จนกลายเป็นความขัดแย้ง จึงควรนำความแตกต่างมาเชื่อมโยงกัน ก็จะทำให้เข้าใจพฤติกรรมของเจ้านาย และเตรียมพร้อมรับมือกับเจ้านายได้ทุกสถานการณ์
ความคาดหวังของ “เจ้านาย” และ “ลูกน้อง”
เจ้านาย ลูกน้อง
ลูกน้องทำงานได้ตามเป้าหมายที่กำหนด เจ้านายคอยสอนงาน ส่งเสริม และพัฒนาความสามารถ
ลูกน้องนำเสนอสิ่งใหม่ๆ พัฒนาคุณภาพของงานให้ดีขึ้น เจ้านายช่วยแก้ไขปัญหา และตัดสินใจงานบางอย่าง
ลูกน้องตั้งแต่ระดับหัวหน้างานขึ้นไปปฏิบัติตัวเป็นแบบอย่างที่ดีในองค์กร เจ้านายมีความเป็นธรรม เป็นแบบอย่างที่ดี
และเข้าใจความต้องการของลูกน้อง
ลูกน้องมีความมุ่งมั่น เต็มใจ และขยันทำงาน เจ้านายช่วยดูแลสภาพแวดล้อมการทำงาน ค่าตอบแทน และความก้าวหน้าในการทำงาน
ธรรมชาติของคนกับพฤติกรรมการทำงาน
มนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่ต้องการการยอมรับ การยกย่อง การชื่นชม และต้องการให้ตนเองดูดีมีคุณค่า พื้นฐานพฤติกรรมของคน ไม่ว่าจะเป็นเจ้านาย เพื่อนร่วมงาน หรือแม้กระทั่งตัวเรา ต่างมีความคิด ความชอบ พฤติกรรม มุมมอง ประสบการณ์ ความถนัด ความสามารถที่แตกต่างกัน ดังนั้น การที่จะไปบังคับให้ทุกคนชอบเหมือนกัน คิดเหมือนกันนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ เราจึงต้องยอมรับความแตกต่างหากต้องทำงานร่วมกับคนที่มีพฤติกรรมแตกต่างกัน

ก่อนอื่นมารู้จักเจ้านายกันเถอะ
DISC คือเครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์พฤติกรรมของคน เพื่อให้รู้จักตัวตนที่แท้จริง และรูปแบบในการสื่อสาร กับคนแต่ละสไตล์ ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 4 สไตล์คือ
สไตล์ การสื่อสาร และการปฏิสัมพันธ์
1. Dominance – ผู้ชี้นำ
ชอบข้อมูลกระชับ ไม่เน้นสัมพันธภาพ กล้าคิดกล้าตัดสินใจ ตรงไปตรงมา ดื้อดึง มั่นใจในตัวเอง ไม่ค่อยฟังผู้อื่น ชอบข้อมูลสั้น / กระชับ ตรงประเด็น เข้าใจง่าย
สไตล์ การสื่อสาร และการปฏิสัมพันธ์
2. Influence – มนุษยสัมพันธ์
ไม่ชอบข้อมูลมากๆ แต่เน้นสัมพันธภาพเป็นหลัก เปิดเผย เป็นมิตร ชอบขายไอเดีย จูงใจคนเก่ง สร้างแรงบันดาลใจให้แก่ลูกน้องได้ แต่อารมณ์อ่อนไหวง่าย ไม่เน้นรายละเอียด ไม่ค่อยลงลึกในเนื้องาน ชอบบรรยากาศสบายๆ เน้นพูดมากกว่าเขียน ชอบคุยเรื่องสัพเพเหระ ควรนำเสนอข้อมูล ที่ทำให้เจ้านายดูดี มีคนยอมรับ การตัดสินใจ จะอยู่ที่ความรู้สึกในตอนนั้น
3. Steadiness – สุขุม ประนีประนอม
ต้องการข้อมูลมากเพื่อตัดสินใจ เน้นสัมพันธภาพในการทำงานสูง ใจดี ใจเย็น สงบ ละเอียดรอบคอบ ประนีประนอม ถ่อมตัว ชอบเป็นผู้ฟังมากกว่าผู้พูด จะพูดเมื่อถูกถามเท่านั้น มักไม่แสดงความเห็น ที่แท้จริงของตนเองออกมา จะเห็นด้วยกับคนอื่นตลอดเวลา ไม่ชอบขัดแย้งกับใคร สุขุม ใจเย็น ชอบฟังมากกว่าพูด แต่ถ้าพูดแล้ว จะมีน้ำหนักมากเพราะมีข้อมูลค่อนข้างเยอะ ไม่ชอบความขัดแย้ง การตัดสินใจจะประมวลข้อมูลก่อน แล้วค่อยตัดสินใจ
4. Compliance – แม่นยำ
ชอบข้อมูลแบบละเอียด อ้างอิงได้ ไม่เน้นสัมพันธภาพ ทุกอย่างต้องเนี๊ยบ เน้นความถูกต้องชัดเจนเป็นหลัก เป็นคนเจ้าระเบียบ สมบูรณ์แบบ ทำงานอย่างระมัดระวัง ไม่ชอบเสี่ยง จุดอ่อนคือ ตัดสินใจช้า ต้องการข้อมูลแบบละเอียด เน้นความถูกต้องแม่นยำ ชอบอ่านมากกว่าฟัง-พูด ใช้เวลาในการตัดสินใจมาก

10 เคล็ดลับ รับมือเจ้านาย
1. เรียนรู้สไตล์ของเจ้านาย ศึกษาจุดแข็ง-จุดอ่อน ปรับสไตล์ให้เข้ากับเจ้านาย เอาประสบการณ์ และการรับรู้ มาปรับใช้กับการทำงาน
2. ยอมรับในบทบาทของเจ้านาย จงยอมรับในบทบาท และอำนาจที่เหนือกว่า หลีกเลี่ยงความขัดแย้งกับเจ้านาย เถียงเรื่องความคิดเห็นได้ แต่อย่าเถียงข้อเท็จจริง
3. บริหารเวลาให้เจ้านาย ทำให้เจ้านายรู้สึกว่าเราให้เวลากับเจ้านาย ไม่ใช่เจ้านายให้เวลากับเรา และรักษาเวลาที่มีคุณค่าของเจ้านาย
4. ทำในสิ่งที่เราไม่ชอบ ก่อนเจ้านายจะทำกับเรา อะไรบ้างที่เราไม่ชอบ อย่าให้เจ้านายทำก่อน เช่น เจ้านายชอบตามงานหรือลงรายละเอียดงานมากๆ สิ่งที่เราทำได้คือ ต้องเตรียมข้อมูลไว้ก่อน จะได้ไม่รู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจ ทำงานร่วมกันง่ายขึ้น
5. หลีกเลี่ยงการอนุมาน อย่าคิดเอาเองในเรื่องความต้องการของเจ้านาย ค้นหาข้อเท็จจริงจากเจ้านาย เพื่อนร่วมงาน ครอบครัว อย่าตีความเอาทีหลัง ถ้าไม่มั่นใจ Recheck ก่อนที่จะลงมือทำ
6. จงเป็นผู้แก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง เมื่อมอบหมายงานให้ไปแล้ว สิ่งที่เจ้านายคาดหวังคือ อยากเห็นการจัดการปัญหางานด้วยตัวเราเองก่อน ก่อนที่จะขอให้เจ้านายช่วย เจ้านายชอบฟังคุณรายงานการแก้ปัญหามากกว่ารายงานว่าปัญหาที่พบมีอะไรบ้าง
7. พัฒนาความสัมพันธ์บนพื้นฐานของความไว้วางใจ เมื่อไรก็ตามที่ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้านายกับลูกน้อง ไม่ราบรื่น ย่อมส่งผลกระทบต่อการทำงาน และการเจริญเติบโตในหน้าที่การงาน ดังนั้น จึงต้องสร้างความไว้วางใจ ให้เกิดขึ้น
8. จงทำให้เจ้านายดูดีอยู่เสมอ สนับสนุนข้อมูลที่ถูกต้อง รวดเร็ว รักษาหน้าเจ้านาย และไม่แสดงความฉลาด กว่าเจ้านายต่อหน้าคนอื่น
9. บริหารใจของเจ้านาย ทำงานแบบรู้ใจ ไม่ใช่เอาใจ ศึกษาอุปนิสัยแล้วทำงานให้ตรงกับอุปนิสัยที่เจ้านายต้องการ ควรอาสาทำงานที่ไม่มีใครอยากทำถ้าตนเองมีความสามารถ
10. จงยอมรับว่า ไม่มีเจ้านายคนไหนดีหรือแย่อย่างสมบูรณ์แบบ นำข้อดีมาเป็นแรงบันดาลใจให้ทำงานกับเจ้านายได้อย่างมีความสุข และนำข้อเสียมาเป็นข้อคิดว่า หากเราได้เป็นเจ้านาย เราจะไม่ทำเช่นนี้กับลูกน้อง

จากการบรรยายหัวข้อ
ทำงานกับเจ้านาย ให้งานสำเร็จ และมีความสุข
โดยอาจารย์บุญสืบ ปัญญา
Productivity Talk วันศุกร์ที่ 10 พฤษภาคม 2556

พาน้องโฮมสเตย์เที่ยว

หลังจากตกปากรับคำกับแป๊วให้รับเอาน้องอาสาสมัครคนนึงจากไจก้า มารับเลี้ยงดูในบ้านช่วงเวลาที่เขาอยู่ในไทยเริ่มต้น เพื่อประสงค์ให้อาสาสมัครได้รับรู้ลักษณะการใช้ชีวิตของคนไทย การกินการอยู่ (จริงๆไม่รู้ว่าเขาอยากให้ไปตามบ้านแปลกๆเช่นบ้านเราหรือไม่) เพื่อให้อาสาสมัครเตรียมตัวให้พร้อมก่อนออกไปทำงานตามส่วนต่างๆของไทย กำหนดการคือสองวันสองคืน รับมาเย็นศุกร์ ส่งคืนอาทิตย์บ่าย การรับส่งแป๊วรับเป็นธุระ เพราะครั้งนี้ รับมาสองคนสองบ้าน แยกกันไป แต่ตกลงกันไว้ว่าจะมากินข้าวร่วมกัน
ไจก้ามีอาสาสมัครแบบนี้เข้ามาเป็นรุ่นๆแต่ละรุ่นอยู่กันเป็นปีๆตามจังหวัดต่างๆทุกภาคของไทย เหมือนๆจะเป็นการเข้ามาสอดแนมยังกะบสมัยสงครามโลกแต่ตอนนี้คงไม่ใช่แล้วหล่ะ ไหว้วานไม่ได้วานเปล่าเขามีค่าใช้จ่ายมาให้ด้วยสามพันบาท ไม่ได้หมายถึงงบประมาณแต่เป็นเหมือนค่าใช้จ่ายกับโฮมสเตย์นั้นๆ มีข้อกำหนดมาว่าต้องทำอะไรกันบ้าง เช่น จัดอาหารให้กินสามมื้อ ใช้ภาษาไทย นั่นโน่นนี่ แต่ไม่อนุญาตให้มารบกวนเราเช่น โทรศัพท์ทางไกล ค่าหมอพยาบาล อะไรให้ติดต่อไจก้าทั้งหมด
ก่อนถึงกำหนดการนัด เขามีจดหมายแนะนำตัวมาจากอาสาสมัคร เขียนภาษาไทยตัวเท่าหม้อแกง ว่าเป็นใครทำอะไร สนใจอะไร ให้เรารู้จักก่อน ได้นเองโควจิ อายุ 38 วิศวกรไฟฟ้าควบคุม ที่จะมาทำงานวิทยาลัยอาชีพพนัสนิคม ชลบุรีมาเป็นเด็กในสังกัด อีกคนของบ้านแป๊วชื่อไดโกะ อายุ 28 จะมาเป็นนักพัฒนาสังคมที่ศรีขรภูมิ สุรินทร์
ทุกขลาภมาเยือนเมื่อก่อนวันนัดไม่กี่เพลา แป๊วติดธุระ ไม่สามารถดูแลไดโกะได้ ต้องเอามาฝากกับทริปทัวร์ของโควจิในวันเสาร์ ส่วนวันอาทิตย์แป๊วอาสาตลอดทั้งวัน เพื่อสลับกัน อดิศรจึงงานเข้า ต้องช่วยกันกับแม่เพื่อรับรองสองหนุ่มนี้ทั้งวันเสาร์
วันศุกร์เย็นเจอกัน ปุ๊ยจัดการสำรับกับข้าวมีผัดผัก กุ้งอบวุ้นเส้น ต้มแกงอะไรสักอย่าง มากมาย ฟาดกันเต็มที่ แล้วก็พากันแยกย้ายเข้าที่พักบ้านใครบ้านมัน ที่หลับที่นอนก็จัดให้ตามสภาพ นัดแนะกันให้เรียบร้อยพรุ่งนี้เจอกันหกโมงครึ่งชั้นล่าง แล้วแยกกันนอนพักผ่อน ญี่ปุ่นเคร่งครัดเรื่องเวลาไม่ต้องย้ำกันมาก
หมายเหตุ การสื่อสารค่อนข้างเป็นอุปสรรคแต่ก็ผ่านไปได้ทักทุเล ต้องเอาใจช่วยโควจิตลอดลุ้นให้พูดแต่ละคำออกมา แก้คำผิดให้ถูก อธิบายคำยากให้ง่าย ยกตัวอย่างประกอบ แบบว่าลำบากมากอ่ะ เหนื่อยแบบเพลินๆ
เช้าวันเสาร์พี่โควจิแต่งตัวหล่อ(ชุดเดิม)แต่่้ามืด พร้อมเดินทางไปกินอาหารเช้าที่บ้านวิลพร เป็นข้าวมันไก่ หมูปิ้งข้าวเหนียว พี่เขาฟาดไปคนละสองห่อ หมูปิ้งหย่อมนึง บอกว่าบูตะเมืือไทย(หมู) อร่อยมากๆ โทริ(ไก่) ก็อร่อย เรียกว่าถูกปากพ่อมหาจำเริญ
ออกเดินทางไปกันสี่คน แม่นั่งประกับไดโกะ (คล่องการพูดจามากกว่าโควจิ) โควจินั่งหน้า (กรรมของโชเฟอร์) จุดหมายแรกคือ ตลาดบางน้ำผึ้งพระประแดง ไม่เคยไปเลย จึงอยากไป ส่วนคุณทุมมาศเคยไปแล้ว แต่ไปอีกได้ ขึ้นทางด่วนลงสุขสวัสดิ์ไปไม่นานก็ถึง
ตลาดขนาดกำลังดี ไปถึงประมาณเก่าโมงคนยังไม่มาก ของกินของขายเยอะมาก เข้าไปก็แตกตื่นกันไม่เคยเห็นผลไม้มากมายแบบเมืองไทย จัดมะพร้าวอ่อนไปสองลูก ให้ลองกินทอดมันปลากราย เมี่ยงคำ และกระท้อนแช่อิ่ม ไปเรื่อยๆ ตลอดทาง สนุกสนาน ในตลาดนอกจากจะมีของกินเก่าๆโบราณแล้วยังมีพวกไม้มงคลขายด้วย ขนมไทยๆก็มี กับข้าวแปลกๆ หลายอย่าง สองหนุ่มเจอปลาไหลที่เขาเอามาขายให้ปล่อยลงน้ำ น้ำลายสอรีบลงไปนั่งยองๆถ่ายรูปกันใหญ่ เพราะบ้านเขามีข้าวหน้าปลาไหลกินกัน คงไม่เอามาปล่อยแบบนี้ แม่ค้าเกือบทั้งหมดอัธยาศรัยดีมาก พูดคุยกับต่างชาติอย่างกันเอง ไม่มีท่าทีจะโขกสับหรือต้มตุ๋นอย่างใด
ออกจากนั่นประมาณสิบเอ็ดโมง จะไปบางปูต่อ นึกย้อนอดีตยี่สิบปีที่เคยอยู่นั่น มันน่าจะสวยงามเช่นเดิม กะว่าจะข้ามแพขนานยนต์ที่พระประแดงเขาเลิกกิจการไปแล้ว ตั้งแต่มีสะพานวงแหวนอุตสาหกรรมและสะพานภูมิพลทั้งสองสะพานให้ข้ามปากแม่น้ำได้อย่างสะดวก(แต่เสียเงิน)
ถึงบางปูเกือบเที่ยง สภาพภูมิทัศน์สวยงามเป็นระเบียบ รถขึ้นไปบนสะพานสุดตาไม่ได้แล้ว มีลานจอดรถและรับส่งโดยรถกอลฟ(บริการฟรี ให้ติ๊บไม่ว่า) เข้าไปนั่งสั่งน้ำ และกาแฟกิน เล่นๆ ครึ่งค่อนชั่วโมงก็กลับ สังเกตว่าป่าชายเลนดีขึ้นมาก ต้นไม้หนาแน่นและสมบูรณ์ คงจะเป็นผลจากพระราชดำริอะไรบางอย่างด้วยหล่ะ
แวะกินเที่ยงกันที่สุกี้เรือนเพ็ชรปากน้ำ (สาขาเพ็ชรบุรีตัดใหม่) เครื่องเคราครบเช่นเดิม สั่งชุดเดียวของเขาเท่ากับเอ็มเคสามชุด แต่ราคาย่อมเยาวกว่าเยอะ อร่อยด้วย ผ่านไปต้องกิน
ก่อนกลับบ้านพาแวะไปท่าน้ำเทเวศ ซึ่งมีวัดเทวราชกุญชร (ช้างทรงพระอินทร ช้างเอราวัณนั่นเอง) หนุ่มๆตื่นเต้นที่เห็นท่าน้ำหน้าวัด มีปลาเป็นพันเป็นหมื่นและมีคนไทยไปปล่อยปลากันเป็นคณะๆเรื่อยๆ แปลกใจว่าทำไมคนไม่เอาปลาไปกิน (บ้านพี่เค้าคงไม่มีปล่อยวัวปล่อยควายแบบบ้านเราด้วย) เดี๋ยวนี้ทำบุญแทบจะออนไลน์ โทรสั่งได้ ปลาอะไรแบบไหนกี่ตัว เอาเต่า ปลาไหล กบ ไหม สักพักรถเข็นจากตลาดจะมาส่งที่ท่าน้ำ พร้อมแผ่นพับกระดาษบทสวดมนต์ แผ่เมตตา แป๊บๆเสร็จ คว่าเทลงไปในน้ำ จ่ายเงิน เสร็จพิธี เสือกปากไม่ดีไปถามเขาว่า แล้วเต่านี่มันต้องอยู่บกบ้างน้ำบ้าง มันลงเจ้าพระยาแล้วจะไปไหนอ่ะพี่ ตลิ่งก็มีเขื่อนกทม. สูงเชียว พี่หันหน้ามาเครียดๆบอกว่ากอผักตบมันก็ขึ้นได้ (ครับพี่ สงสัยพี่เค้าไปจับกลีบมาตรงนั้น)
ในวัดมีพิพิธภัณฑ์ไม้สักทอง บ้านของดร อุกฤษ มงคลนาวิน ราคาเป็นร้อยๆล้าน แกยกให้วัด นอกจากนั้นยังมีอื่นๆอีกมาก ที่แกยกให้สาธารณกุศล เพิ่งรู้ก็คราวนี้เอง ดูทัังหมดแล้วปลื้มใจที่คนรวยๆดีๆทำอะไรมากมายเพื่อคนอื่นแบบไม่รู้จะเก็บเอาไว้เองทำไม ปีนี้แกอายุแปดสิบยังแข็งแรงมาก คงอยู่ไปได้อีกนานเพราะอานิสงส์ของการไม่เครียด และการให้ทานด้วย
กลับบ้านห้าโมงกว่า ปุ๊ยจัดอาหารชุดใหญ่่เช่นเคย สองหนุ่มก็ฟาดเรียบตามฟอรม มีการอธิบายเล่าเรื่องการเที่ยวให้กันฟัง(ฝึกภาษาไทย) แต่อดิศรนั้นนิ่งแล้ว ไม่ไหว เหนื่อย อยากพักนอน แยกย้ายกันตอนสามทุ่มกว่าๆ พาโควจิกลับบ้าน นอนเลย เพราะเพลียมาก การ่ามคนเดียว ขับรถ และดูแลคนทั้งสองคนเนี่ย มันเหนื่อยจริงๆว่ะ
จบวันแรก
วันที่สอง (เช้าอาทิตย์)
วันนี้แป๊วจะพาไปอยุธยา(เป็นสิบรอบแล้ว) สองหนุ่มดีใจกันมาก คาดว่ามีบรรบุรุษมาตั้งรกรากที่นี่เมื่อสามร้อยปีก่อน ต้องออกกันแต่เช้ากลัวคนเยอะ ออกจากที่พักหกครึ่งไปรับทานข้าวต้มเครื่องหมูใส่เห็ดชิตาเกะเข็มทองที่บ้านวิลพร ฝีมือเชฟปุ๊ย พร้อมปลาท่องโก๋นิดหน่อย ออกเดินทางมุงหน้าอยุธยา แรกว่าจะไม่ไป แต่กลัวแป๊วจะต้องรับชะตากรรมเดียวกับเมื่อวานจึงติดรถไปด้วย
เป้าหมายแรก วิหารหลวงพ่อมงคลบพิตร กลางกรุงเก่า ติดวัดพระศรีสรรเพชร คนยังไม่มีเท่าไหร่ บางตามาก ที่เห็นความเปลี่ยนแปลงชัดๆคือหาบเร่แผงลอยและร้านค้าทั้งด้านหน้าและหลังของวิหารอันตรธานหายไปสิ้น คาดว่าผลมาจากการที่กรรมการมรดกโลกจะเฉ่งเอา แต่ทำให้วิหารโดดเด่นขึ้นมากและสงบไม่วุ่นวาย (สายๆมีพวกซาเล้งมาหรอยจอดเกะกะ น่าจะไม่มีการอลุ้มอล่วยแบบนี้) ความยิ่งใหญ่ของหลวงพ่อไม่ต้องพูดถึง ใหญ่โตจนน่าสงสัยว่าเมื่อครั้งก่อนที่มีการเข้ามาพบเจอพระองค์ขนาดนี้พระกรหักตั้งอยู่ในป่าจะน่ากลัวน่าศรัทธาขนาดไหน มีรูปที่ข้างฝาตอนที่กรมพระยาดำรงฯขี่ช้างนำฝรั่งราชทูตมาเยี่ยมชม แลยิ่งใหญ่มากๆ ที่นี่แป๊วพาสองหนุ่มเสี่ยงเซียมซี ข้อความที่ออกมาก็อ่านเป็นดีก็ได้ร้ายก็ไม่เชิง พี่ยุ่นแลเฉยๆ อาจจะประมาณบ้านกูแปลกกว่านี้ เอาไม้สองชิ้นโยนใส่กันแปลความหมายได้เป็นคุ้งเป็นแคว ถ้าเอ็งเจอริวจิตสัมผัสของไทยเอ็งจะทึ่งเผลอๆโดนทักว่าทำแท้งมาด้วย ถ้าบอกไม่ใช่พี่ก็จะบอกว่าชาติก่อนทำมา ถ้าบอกว่าชาติก่อนไม่มีการทำแท้งพี่ก็จะบอกว่าเคยให้คนหยิบยืมใช่ไหม นั่นแหละเขาเอาไปทำแท้ง แม่งเอาจนเกี่ยวจนได้อ่ะ
ออกจากวิหารแวะเฉียดๆปางช้างอยุธยา ที่เพิ่งมีข่าวกระทืบนักท่องเที่ยวไม่นานมานี้ คนก็ยังมีนั่งกันต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น สองหนุ่มห้าวมาก แต่แป๊วไม่อนุญาตให้ลงไป เกรงอันตรายจึงได้แต่มองตาปริบๆในรถ เป้าหมายถัดไปวัดไชยวัฒนาราม เมื่อก่อนคิดว่าเคยไปแล้วและเชื่อมาตลอด ปรากฏว่าคนละที่กับที่แป๊วพาไป มันอยู่คนละฝั่งน้ำเลย ที่เราเชื่อมาตลอดนั้นคือวัดอะไรก็ไม่รู้ สะเหร่อจริงๆ วัดนี้สวยงามมากมีปรางค์ตรงกลาง ล้อมรอบด้วยหมู่ปรางค์เล็กๆ มีการจัดวางภูมิสถาปัตย์ขั้นเทพ สมแล้วที่เขาว่ากันว่าสวยงามที่สุด นี่ขนาดปรักหักพังนะ ถ้าตอนสามร้อยปีก่อน มันจะต้องอลังมากๆแน่ๆ
ออกจากวัดไชยฯมาแวะกินกาแฟกันที่บูทีคโฮเตลโยเดีย(ชื่อเก่าของอยุธยาที่พม่าเรียก) บรรยากาศดี สงวนไว้สำหรับคนรวยเท่านั้นที่พักต้องจองข้ามปี แวะไปแป๊บก็ออกมา จุดหมายสุดท้าย ป้อมเพชร ป้อมรักษาพระนครทางทิศเหนือ เป็นจุดที่แม่น้ำทั้งสามมาบรรจบ ลพบุรี ป่าสักและเจ้าพระยา มีชาวบ้านมายืนตกปลากันสามสี่คน ได้ปลาด้วย แกว่าเอาไปทำกับข้าวกินได้ ดีกว่าให้ลูกหลานไปใช้เวลาปัญญาอ่อนที่อื่น ระหว่างนั้นมีตัวเงินตัวทองมาว่ายไปมา สองหนุ่มแหกปากว่าคล็อคโคไดล์ๆ คงคิดว่าสยามบ้านป่าเมืองเถื่อนมีจระเข้ว่ายไปมาแบบนั้นได้ พยายามนึกว่าแล้วมันเรียกว่าอะไรนอกจากคำว่าลิซาร์ด เพราะมันตัวใหญ่กว่า บอกว่าโคโมโดดราก้อนแม่งก็งงๆ ไม่นานมันไปเกี่ยวเบ็ดของพี่นักตกปลาเข้า เอาไม่หลุด แกอุทานว่า “ไอ้เหี้ยเอ๊ย!!” เลยบอกสองหนุ่มไปว่านั่นแหละชื่อมัน เอ็งจำไปเรียกสรรเสริญเพื่อนสนิทได้เลย
มุ่งหน้ากลับพระนคร มื้อเที่ยงนั้นแป๊วเป็นเจ้าภาพอาหารอีสานลาบเป็ดพิสดาร มีเมนูไก่ย่างกรอบ (ยากิโทริอีสาน) ข้าวเหนียว ต้มเอ็นแก้ว ลาบปลาดุก ส้มตำไทย ตำปลาร้า ถูกปากกุมารยุ่นมากๆ ซัดเรียบ ของหวานเป็นกล้วยเล็บมือนาง ซึ่งพี่เค้าบอกว่าอร่อยกว่ากล้วยฟิลิปปินส์ (บ้านแกนำเข้าอย่างเดียวปลูกไม่ขึ้น) จบภารกิจระทึกด้วยการตั้งค่าโทรศัพท์ AIS 3G 2100 ให้พี่โควจิ เพราะไปซื้อซิมมาใช้กับโซนี่อะไรไม่รู้เน็ตไม่ขึ้น ตั้งค่าโคตรยาก ขนาดโทรไปถาม call center ยังทำตามไม่ถูก (ไทยกับไทย) ยุ่นไม่ต้องพูดถึง ทำไมต้องยากเย็นแบบนี้ไม่รู้ สุดท้ายก็สำเร็จ
แยกย้ายจากกันบ่ายสอง ซาโยนาระ แป๊วพาไปส่ง พ่อเอาของที่ระลึกเป็นผ้าขาวม้าให้ไปคนละผืนบอกให้เอาไปอาบน้ำ พี่ยุ่นงงเพราะที่บ้านแก้ผ้าทั้งส่วนตัวและสาธารณะ อาจจะคิดไว้ว่าเอาไปพาดคออาบน้ำก็ได้ ประโยชน์อีกอย่างเอาไว้ผูกคอตายได้ลืมบอกมันไป
จบภารกิจ แว่วๆว่า อยากจะมาเที่ยวหาครอบครัวของพวกคุณอีก พวกคุณดีกับพวกเรามากๆ โผ๋มมสนุกกันมากฺ…… เวลคัม ทูไทยแลนด์
จบ

20130722-220707.jpg

20130722-220727.jpg

20130722-220743.jpg

20130722-220805.jpg

20130722-220838.jpg

20130722-220859.jpg

20130722-220914.jpg

20130722-220937.jpg

20130722-220953.jpg

20130722-221007.jpg

20130722-221021.jpg

เก็บตกจากร้านสุกี้

เก็บตกจากร้านสุกี้ โต๊ะที่เช็คบิลแขกกลับแล้ว เด็กและกัปตันจะไปรุมเก็บจาน เก็บหม้อ และเช็ดโต๊ะ วางจานถ้วยใหม่ มากันเป็นสิบ!! เร็วและเรียบร้อยมากๆ ไม่ใช่แค่ครั้งเดียว
อดใจไม่ไหวถามเด็กว่าทำไมต้องมากันมากมาย? เด็กบอกเป็นหน้าที่ ช่วยกันทำก็เสร็จเร็ว สะอาด ลูกค้าชอบ ถามต่อว่า เขาบังคับเหรอ เขาบอกเปล่าผมช่วยเพื่อน เดี๋ยวเพื่อนก็ช่วยผม!!
เด็กไม่ได้เป็นอย่างนี้เองแน่ๆ น่าสงสารร้านไก่ทอดไม่มีคนสร้างเด็กแบบนี้

20130716-235455.jpg

ต่าง Gen ต่างใจ แล้วจะทำงานร่วมกันอย่างไรดี

รวบรวมบทความของบล็อกคุณปราการ prakal มาไว้รวมกัน เป็นข้อเขียนที่มีประโยชน์มากๆ

ตอน 2
วันนี้เราจะมาต่อในเรื่องของคุณลักษณะของคนแต่ละ Generation กันว่าจะมีจุดเด่น จุดด้อยอะไรกันบ้าง และมีลักษณะที่โดดเด่นอย่างไรบ้าง เพื่อที่จะได้เห็นว่า แต่ละ Gen นั้น มีทัศนคติ ความชอบ ไลฟ์สไตล์ ที่แตกต่างกันอย่างไร ก็ถือว่าเป็นการทบทวนกันอีกสักครั้งสำหรับบางท่านที่พอจะรู้อยู่แล้วนะครับ ส่วนท่านที่ยังใหม่กับเรื่องนี้ก็จะได้ทราบว่า แต่ละ Gen มีลักษณะที่แตกต่างกันอย่างไร เพื่อที่จะได้เข้าใจ และนำเอาไปออกแบบระบบบริหารจัดการกันอีกทีครับ
คุณลักษณะของคนในแต่ละ Generation นั้น มีความแตกต่างกันออกไปค่อนข้างจะมาก เนื่องจากแต่ละ Gen ถูกเลี้ยงดูขึ้นมาจากสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันออกไปโดยสิ้นเชิง ยุคสมัยที่แตกต่างกัน ความเจริญของเทคโนโลยีที่แตกต่างกัน เลยทำให้แต่ละ Gen มองโลกไม่เหมือนกัน ลองมาดูลักษณะของคนแต่ละ Gen กัน

· Baby Boomer คนรุ่นนี้จะเกิดในช่วง ปี ค.ศ. 1946-1964 ซึ่งเป็นช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา ซึ่งในยุคนั้นเป็นยุคข้าวยากหมากแพง คนรุ่นนี้จึงต้อง
o ดิ้นรน ทำงานหนัก เพื่อที่จะสร้างฐานะของตนเองขึ้นมา ธุรกิจและองค์กรใหญ่ยังมีไม่มากนัก เติบโตขึ้นมาท่ามกลางการแข่งขันที่สูงมาก ดังนั้นคนรุ่นนี้จึงเชื่อเรื่องของการทำงานที่ทุ่มเท เชื่อในกระบวนการและขั้นตอนการทำงานที่ชัดเจน และจะต้องทำตามขั้นตอนและกระบวนการที่กำหนด

o เป็นคนทำงานหนัก มาทำงานแต่เช้า กลับบ้านดึก เพราะถือว่านี่เป็นวิธีการแสดงออกถึงความทุ่มเทให้กับองค์กร เชื่อเรื่องของกฎระเบียบข้อบังคับของบริษัทมาก พยายามปฏิบัติตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด เพราะถือเป็นผลงานอย่างหนึ่ง

o ส่วนคนที่ประสบความสำเร็จ ก็ถือว่าเป็นคนที่สร้างตัวเองขึ้นมาจากศูนย์ มองว่าตัวเองเหนื่อยยาก กว่าจะทำงานได้ประสบความสำเร็จ จึงชอบพนักงานที่มีความมุ่งมั่น ทุ่มเท มาทำงานแต่เช้า กลับดึกๆ คล้ายๆ กับที่ตนเองยังหนุ่มอยู่ มักจะมองเห็นตัวเองผ่านพนักงานที่มีพฤติกรรมคล้ายๆ กัน ดังนั้น พนักงานคนไหนที่มีพฤติกรรมเหมือนเขา ก็มักจะถูกมองว่าเป็นพนักงานที่มีผลงานที่ดี คือมองกระบวนการทำงานมากว่า ผลลัพธ์ที่ออกมา พนักงานคนนั้นอาจจะมาขยันมาทำงานแต่เช้า แต่ผลงานอาจจะออกมาไม่ค่อยดีนัก แต่คนกลุ่มนี้เชื่อเรื่องของกระบวนการมากกว่า เชื่อว่ากระบวนการที่ดีจะไปสู่ผลที่ดีตามมา แต่อาจจะช้าหน่อยก็ไม่เป็นไร

· Generation X คนรุ่นนี้เกิดในช่วงปีค.ศ. 1965-1978 เป็นรุ่นลูกของ Baby Boomer ซึ่งถูกเลี้ยงดูมาโดยที่พ่อแม่ทำงานหนักทั้งคู่ หรือไม่ก็คนเป็นพ่อทำงานหนัก แต่แม่เป็นแม่บ้านเลี้ยงดูลูก ก็มักจะเห็นตัวอย่างจากการทำงานหนักของพ่อ และแม่เองก็ชื่นชมพ่อที่ทำงานหนักให้ลูกฟังบ่อยๆ ซึ่งลูกไม่ได้ชอบเลย เพราะเห็นว่า บางครั้งการทำงานหนักของพ่อนั้น องค์กรก็ไม่เห็นจะดูแลอะไร เวลาที่จะเลิกจ้าง ก็เลิกเลย ไม่สนใจว่าทำงานหนักให้องค์กรสักแค่ไหน ผลก็คือ
o คน Gen X จะไม่เชื่อเรื่องของการทำงานหนักในลักษณะของกระบวนการทำงาน แต่จะเชื่อเรื่องของการทำงานแบบ Work-Life Balance คือทำงานหนักได้ แต่เรื่องของชีวิตส่วนตัวก็ต้องมีความสมดุลกันด้วย ดังนั้นจึงเชื่อว่า งานไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิต

o มองเงินว่าเป็นเครื่องมือบ่งบอกความก้าวหน้าของชีวิต แต่ถ้าเงินก้อนนั้นทำให้ชีวิตต้องเสียความสมดุลไป ก็ยอมที่จะทิ้งเงิน เพื่อเลือกชีวิตที่สมดุล และมีความสุขมากกว่า

o คนรุ่นนี้เป็นคนที่ถูกเลี้ยงโดยคุณแม่ส่วนใหญ่ และมักจะเป็นลูกที่มีพี่น้องไม่กี่คน ก็จะทำให้ทักษะเรื่องของคน ไม่ค่อยดีนัก (แต่ก็ไม่เสมอไป) ชอบทำงานคนเดียว บอกแค่ผลที่ต้องการ แล้วเขาจะไปหาวิธีการทำงานมาให้จนได้ โดยไม่ต้องไปลงลึกเรื่องของขั้นตอนและวิธีการทำงานอะไรเลย ดังนั้นคนรุ่นนี้จึงรับไม่ค่อยได้ ถ้าคนรุ่นใหม่ จะต้องมาถามแล้วถามเล่า ถึงวิธีการทำงาน ถามถึงความเห็นว่าแบบไหนดี ควรจะใช้วิธีการใดดีในการทำงาน ฯลฯ คนกลุ่มนี้จะมองว่า ทำไมคิดเองไม่ได้ ตัวเขายังสามารถทำเองคิดเองได้จนกระทั่งงานสำเร็จได้เลย ก็จะมองคนรุ่นหลังว่าเป็นพวกที่วางแผนทำงานไม่เป็น คิดอะไรก็ไม่ออก ต้องคอยถามอยู่ตลอดเวลา

o ส่วนเรื่องเทคโนโลยีนั้น คนรุ่นนี้ก็ยังคือว่าเป็นคนที่ยังทันต่อเทคโนโลนีสมัยใหม่ เพราะเติบโตในช่วงเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีพอดี

· Generation Y คนรุ่นนี้เกิดในช่วงปีค.ศ. 1979-1990 เป็นคนรุ่นใหม่ล่าสุดที่กำลังเข้าสู่ตลาดแรงงานมาอย่างต่อเนื่อง คนรุ่นนี้ ถูกเลี้ยงดูและเติบโตมากับครอบครัวที่พอจะมีฐานะอยู่บ้าง โดยส่วนใหญ่ไม่ได้ลำบากมากนัก พ่อแม่ พยายามที่จะดูแลให้ดี อยากได้อะไรก็จัดให้ รวมทั้งเกิดมาพร้อมกับเทคโนโลยีต่างๆ รอบตัวไปหมด เกิดมาก็เห็นคอมพิวเตอร์แล้ว ได้จับเครื่องมือสื่อสารต่างๆ ตั้งแต่เด็กๆ ก็เลยคุ้นเคยกับเทคโนโลยีต่างๆ เป็นอย่างดี ลักษณะส่วนใหญ่ของคนรุ่นนี้คือ
o มองโลกในแง่บวก สบายๆ ไม่ซีเรียสกับเรื่องอะไรมากนัก เพราะถูกเลี้ยงมาอย่างดี

o มีความเชื่อมั่นในตนเองสูงมาก อยากประสบความสำเร็จในชีวิตอย่างรวดเร็ว พูดง่ายๆ ก็คือ อยากเป็นผู้จัดการ หรือเจ้าของกิจการตั้งแต่อายุ 25-26 ปี เพราะทั้งชีวิตที่โตมา ได้เห็นและรับรู้เรื่องราวของคนที่ประสบความสำเร็จมาเยอะ ก็เลยอยากประสบความสำเร็จบ้าง

o เชื่อว่าเงินมีความสำคัญในการดำรงชีวิต และสามารถซื้อได้ทุกสิ่งทุกอย่าง คนรุ่นนี้เป็นคนที่ซื้ออะไรง่าย และก็เบื่อง่าย เพราะมีอะไรใหม่ๆ มาให้เห็นอยู่ตลอดเวลา ดังนั้น อาจจะเพิ่งซื้อโทรศัพท์รุ่นใหม่มาได้ไม่ถึงปี ก็เปลี่ยนทันทีเมื่อมีรุ่นที่ใหม่กว่าออกมา

o ชอบอะไรที่ยืดหยุ่น ใช้ชีวิตโดยเน้นเป้าหมายและความสำเร็จเป็นหลัก โดยไม่ยึดถือกับกระบวนการและวิธีการทำงานมากนัก ไม่ค่อยเชื่อกฎเกณฑ์ในการทำงาน รวมทั้งกฎระเบียบต่างๆ เพราะมองว่า สิ่งเหล่านั้นไม่มีความยืดหยุ่นเลย เขาอาจจะใช้วิธีการอย่างอื่น เพื่อที่จะทำงานได้ตามเป้าหมายที่กำหนดได้ ดังนั้น พฤติกรรมก็จะออกมาในลักษณะที่ไม่ค่อยอยากมาทำงานตรงเวลา ทุกที่เป็นที่ที่ทำงานได้หมด ไม่จำเป็นต้องเข้ามานั่งทำงานในออฟฟิศก็ได้ ซึ่งจุดนี้เองก็จะขัดกับแนวคิดของคนรุ่นเดิมๆ ซึ่งเชื่อในเรื่องของกระบวนการทำงานมากกว่าผลสำเร็จ

o เป็นคนที่ต้องบอกรายละเอียดในการทำงานที่ชัดเจน เพราะถูกเลี้ยงมาโดยพ่อแม่ที่บอกสูตรลับความสำเร็จให้ทุกอย่าง จนแทบจะไม่ต้องไปลองผิดลองถูกอะไรเลย ดังนั้น ถ้ามอบหมายงานแบบบอกเป้าหมาย แล้วให้เขาไปหาวิธีการเอาเองนั้น เขาจะไม่ชอบ และจะพยายามมาสอบถามเสมอว่า สิ่งที่ทำอยู่นั้นมันใช่หรือไม่ ถูกต้องหรือไม่ เพื่อให้เกิดความแน่ใจ ซึ่งหัวหน้า Gen X ก็จะติดรำคาญหน่อยๆ เพราะมาถามอยู่ได้ ทำไมไม่หาทางเอง หรือคิดเองบ้าง

o คนรุ่นนี้ จะรู้สึกปกติกับการให้ Feedback บอกได้เลยว่าผลงานที่ออกมานั้น ดีหรือไม่ดีอย่างไร เขาพร้อมที่จะรับฟังเสมอ เพราะถูกเลี้ยงดูมากับการบอกเล่า และการได้ Feedback มาโดยตลอด จึงไม่ค่อยกลัวในเรื่องเหล่านี้ ซึ่งตรงนี้จะไม่เหมือนกับคนกลุ่ม Baby boomer ซึ่งไม่ชอบการ Feedback เลย เพราะเหมือนกำลังถูกลงโทษ

เมื่อเห็นลักษณะเด่นของแต่ละ Gen แล้ว ก็คงจะพอเข้าใจแล้วนะครับว่าทำไมถึงเกิดความขัดแย้งในการทำงานได้ โดยที่บางครั้งแทบหาสาเหตุของความขัดแย้งนั้นไม่เจอเลย ซึ่งจริงๆ แล้วก็มาจากมุมมอง ทัศนคติ และความเชื่อที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละ Gen ซึ่งก็มาจากการเลี้ยงดู และสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันในคนแต่ละรุ่น

เมื่อเข้าใจธรรมชาติเหล่านี้แล้ว ก็จะง่ายขึ้นในการที่จะสร้างระบบต่างๆ ที่จะทำให้ทั้ง 3 Gen สามารถที่จะอยู่ทำงานร่วมกันอย่างมีความสุขได้ไม่ยากนัก ซึ่งพรุ่งนี้ผมจะมาต่อในเรื่องของระบบการบริหารทรัพยากรบุคคลที่องค์กรจะต้องสร้างให้เกิดขึ้น เพื่อที่จะบริหารคนหลายๆ Generation ในองค์กรของเรา

ทั้งนี้ก็เพื่อให้เขาสามารถที่จะทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น และนำพาองค์กรไปสู่เป้าหมายที่เราต้องการได้นั่นเอง
ตอน 3
วันนี้ก็เป็นตอนที่ 3 ของเรื่องราวเกี่ยวกับการบริหารจัดการคนแต่ละ Generation ให้สามารถทำงานร่วมกันอย่างราบรื่น เพื่อที่จะสร้างผลงานที่ดีให้กับองค์กร สองตอนที่ผ่านมาได้เล่าให้อ่านเกี่ยวกับคุณสมบัติของคนในแต่ละ Gen ว่ามีอะไรที่โดดเด่นบ้าง และมีความคิด ทัศนคติ การมองโลกต่างกันอย่างไรบ้าง ไปแล้ว วันนี้จะมาต่อในเรื่องของแนวทางในการบริหารจัดการคนแต่ละ Gen ก่อน เพื่อที่จะได้ภาพรวมของการบริหารคน แล้ววันถัดไปค่อยมาต่อเรื่องของระบบการบริหารภายในองค์กรเองว่าจะต้องทำอย่างไรบ้าง เพื่อให้แต่ละ Gen อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข

ส่วนใหญ่เรื่องของการบริหารจัดการคนนั้น เรามักจะมองอยู่ใน 2 ประเด็นหลักๆ ก็คือ ดึงดูด (Attract) และ รักษาไว้ (Retain) ลองมาดูว่า เราจะ Attract และ Retain พนักงานในแต่ละ Gen ได้อย่างไรบ้าง

ว่าด้วยเรื่องของการดึงดูดพนักงาน (Attraction)

Baby Boomer จากคุณลักษณะของ Gen นี้ ที่เขียนไว้ตอนที่ 2 การที่เราจะดึงดูดคนกลุ่มนี้เข้าทำงานในองค์กรได้นั้น จากผลการวิจัยที่ได้สอบถามกลุ่ม Baby Boomer จำนวนกว่าพันคน สามารถสรุปได้ดังนี้
เงินเดือน พนักงานกลุ่มนี้ ยังคงต้องการเงินเดือน หลายท่านอาจจะสงสัยว่าที่เคยทราบว่า คน Gen นี้ไม่เน้นเรื่องเงินไม่ใช่หรือ จริงๆ แล้วทุก Gen ล้วนต้องการเงินเดือน เพื่อใช้จ่ายอยู่แล้วครับ เพราะนี่เป็นการตอบสนองความต้องการพื้นฐานของคนเราอยู่แล้ว ยิ่ง Gen นี้ เขามองว่า ถ้าองค์กรต้องการประสบการณ์การทำงานอันยาวนานของเขา ก็ต้องมีเรื่องของค่าตอบแทนที่สมน้ำสมเนื้อกันด้วยเช่นกัน ยิ่งคนรุ่นนี้ จะเอาเรื่องของเงินมาเป็นตัววัดความสำเร็จอยู่บ้างเหมือนกัน
สวัสดิการที่เน้นเรื่องของWork-Life Balance กลุ่ม Baby Boomer หลายคน มีอายุมากแล้ว และไม่สามารถที่จะขับรถได้ เพราะด้วยสายตา และการตอบสนองที่ช้าลง ดังนั้นการเดินทางมาทำงานก็อาจจะมีปัญหาได้ ถ้าคนกลุ่มนี้เข้ามาในระดับบริหาร บริษัทก็อาจจะมีการจัดรถประจำตำแหน่ง และมีคนขับรถให้ได้ แต่ถ้าไม่สามารถให้สิ่งเหล่านี้ได้ สิ่งที่คนกลุ่มนี้ต้องการก็คือ ความยืดหยุ่นในการทำงาน เช่น ทำงานที่บ้านได้ โดยเชื่อมต่อระบบเข้ามายังบริษัท และสามารถที่จะทำงานจากบ้านมาได้เลย โดยไม่ต้องเดินทางมายังบริษัท ก็จะทำให้คนกลุ่มนี้สะดวกที่จะทำงาน และอยากทำงานให้กับองค์กรมากขึ้น เพราะสามารถที่จะอยู่บ้าน เลี้ยงหลานไปด้วย และทำงานให้กับองค์กรได้ด้วย
สถานภาพ และตำแหน่ง ปัจจัยที่ 3 ที่จะดึงดูดคนกลุ่มนี้เข้าทำงานกับองค์กรก็คือ เรื่องของสถานภาพ และตำแหน่งงานที่องค์กรมอบให้ เนื่องจากเป็นบุคคลที่มีประสบการณ์มามาก ทั้งวัยวุฒิ และคุณวุฒิ ก็อาจจะมีความคาดหวังว่าองค์กรจะมองและยกย่องเขา ให้ความสำคัญกับเขา เพราะเป็นคนที่มีองค์ความรู้และมีประสบการณ์มามาก ดังนั้น สิ่งที่องค์กรจะต้องจัดให้มีก็คือ เรื่องของ Recognition การวางสถานภาพของเขาให้อยู่เป็นคนที่มีความสำคัญ และมีความเชี่ยวชาญ จริงๆ จากการสัมภาษณ์ คน Gen นี้ไม่ต้องการตำแหน่งอะไรในองค์กรที่สูงๆ แต่ต้องการการให้ความสำคัญมากกว่า
Generation X จากคุณลักษณะของ Gen นี้ ที่เขียนไว้ตอนที่ 2 การที่เราจะดึงดูดคนกลุ่มนี้เข้าทำงานในองค์กรได้นั้น จากผลการวิจัยที่ได้สอบถามกลุ่ม Generation X จำนวนกว่าพันคน สามารถสรุปได้ดังนี้
บรรยากาศในการทำงาน Gen X นี้มองเรื่องของบรรยากาศในการทำงานเป็นเรื่องสำคัญก่อนเรื่องอื่นๆ และบรรยากาศที่เขาต้องการก็คือ การทำงานที่มีบรรยากาศแบบครอบครัว มีความอบอุ่น มีความเป็นกันเอง ไม่ชอบเรื่องของการเมือง และการแก่งแย่งชิงดีกันมากนัก ดังนั้นถ้าองค์กรของเรามีชื่อเรื่องของการทำงานที่เป็นกันเอง อบอุ่น เหมือนครอบครัวเดียวกัน ก็จะยิ่งสามารถดึงดูด Gen X เข้ามาทำงานได้มากขึ้น
Work-Life Balance ปัจจัยที่สองที่จะดึงดูด Gen X ได้ดี ก็คือ เรื่องของการสร้างความสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว ถ้าองค์กรมีระบบการให้สวัสดิการที่มองถึงเรื่องนี้ ก็จะยิ่งทำให้คน Gen นี้อยากเข้ามาทำงานด้วยมากขึ้น เพราะคน Gen X โดยธรรมชาติจะมุ่งเน้นในเรื่องนี้อยู่แล้ว เขาสามารถที่จะลาออกจากงาน ไม่รับเงินเดือนสูงๆ แค่เพียงเพราะงานที่ทำมันทำให้เขารู้สึกว่าเขาสูญเสียเวลาในการทำอย่างอื่นไป ซึ่งเขามองว่ามันไม่คุ้มเลย
ค่าจ้างเงินเดือน คน Gen X จะไม่ได้เน้นเรื่องของตัวเงินเดือนมูลฐานว่าจะต้องได้มากๆ แต่จะมองในภาพค่าจ้างรวมทั้งหมดว่า Total Package แล้วเขาได้รับอะไรบ้าง และได้รวมแล้วเท่าไหร่ เพราะเขาต้องการมองในเรื่องของการสร้างความสมดุลในชีวิตและการทำงานมากกว่าที่จะมองเรื่องของเงินเดือนเพียวๆ ดังนั้น ถ้าองค์กรจะดึงดูดคนกลุ่มนี้ได้ดี ก็อาจจะต้องชี้แจงเรื่องค่าจ้างในมุมของทั้ง Package ว่ามีอะไรบ้าง สัดส่วนเท่าไหร่อย่างไร เงื่อนไขที่จะได้เป็นอย่างไร มากกว่าที่จะไปเน้นเรื่องของเงินเดือนมูลฐานที่สูงๆ แล้วไม่มีอย่างอื่นประกอบ
Generation Y จากคุณลักษณะของ Gen นี้ ที่เขียนไว้ตอนที่ 2 การที่เราจะดึงดูดคนกลุ่มนี้เข้าทำงานในองค์กรได้นั้น จากผลการวิจัยที่ได้สอบถามกลุ่ม Generation Y จำนวนกว่าพันคน สามารถสรุปได้ดังนี้
เงินเดือนสูงๆ ปัจจัยแรกที่ Gen Y ต้องการในการตัดสินใจเข้าทำงานกับองค์กร ก็คือ เรื่องของเงินเดือนที่สูงกว่าองค์กรอื่นที่เสนอมา โดยที่ไม่มององค์กรประกอบอื่นๆของค่าจ้างเลย เขาต้องการเงินเดือนมูลฐานที่สูง ส่วนเรื่องของโบนัส ค่าตำแหน่ง ค่าวิชาชีพ ไม่ต้องพูดถึง เพราะเขาไม่ได้มองค่าจ้างเป็น Package เหมือน Gen X ดังนั้น ถ้าองค์กรอยากได้เด็กรุ่นใหม่ ใน Gen Y เข้ามาทำงาน ก็คงต้องมีการออกแบบระบบอัตราแรกจ้างใหม่ ให้สูงกว่าตลาด เพื่อเป็นการดึงดูดคนเข้ามาทำงานได้มากขึ้น
บรรยากาศในการทำงานแบบสบายๆ ปัจจัยที่สองที่จะดึงดูด Gen Y ได้ดี ก็คือ บรรยากาศในการทำงานที่สบายๆ ไม่ต้องมีพิธีรีตองมากมาย ชุดฟอร์มไม่ต้องได้มั้ย เพราะมันแก่ หรือจะมาทำงานก็ต้องมาตอกบัตร สแกนนิ้ว มีการกำหนดเวลาทำงานอย่างชัดเจน ไม่ยืดหยุ่นเลย หรือการให้เขามีอิสระในการที่จะออกแบบ หรือตกแต่งโต๊ะทำงานของเขาเองได้ รวมทั้งมีการจัดบริเวณที่ทำงานให้มีกิจกรรม เกมส์ สันทนาการเล็กๆ บริษัท เพื่อให้เขารู้สึกผ่อนคลาย มาทำงานเหมือนกับมาเที่ยวเล่นได้
โอกาสในการเติบโตในองค์กรปัจจัยที่จะดึงดูด Gen Y เข้าทำงานอีกเรื่องที่เขาต้องการก็คือ โอกาสที่จะได้เรียนรู้งาน พัฒนางาน และเติบโตก้าวหน้าในองค์กร ถ้าองค์กรมีการกำหนดและวางระบบ Career Development โดยสร้างระบบการพัฒนาคนอย่างจริงๆ จังๆ และมีเส้นทางความก้าวหน้าชัดเจนมากๆ Gen Y จะชอบมาก เพราะมองเห็นว่า เขาจะต้องทำอย่างไร แค่ไหน ที่จะทำให้ตัวเองก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว เพราะ Gen Y นี้ ต้องการที่จะประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วมากๆ
จากข้อมูลข้างต้นก็น่าจะพอทำให้ผู้บริหาร และ HR ทั้งหลายพอที่จะมองเห็นแนวทางในการวางระบบการสรรหาคัดเลือก และสร้างระบบงานเพื่อที่ดึงดูดเอาคนกลุ่มที่เราต้องการเข้ามาทำงานในองค์กรได้ง่ายขึ้น

ผมเชื่อเลยว่า หลายองค์กรเกิดปัญหาที่ว่า เราอยากได้ Gen Y แต่เรายังบริหารแบบ Baby Boomer หรือเราอยากได้ผู้บริหาร Gen X เข้ามามากขึ้น แต่องค์กรเราไปเน้นเรื่องของ Gen Y Baby Boomer มากเกินไป เราก็ไม่สามารถที่จะได้กลุ่มคนเป้าหมายที่เราต้องการได้แน่นอน

ดังนั้นระบบดึงดูดคน ที่พูดมาทั้งหมดนี้ ก็จะต้องไปเชื่อมกับสิ่งที่ปัจจุบันเราเรียกมันว่า Employer Branding นั่นเองครับ เพื่อทำให้เราได้คนอย่างที่เราต้องการ

ตอน 4

วันนี้จะเป็นเรื่องของแนวทางในการรักษาไว้ ซึ่งพนักงานในแต่ละ Gen ว่า เขาต้องการอะไร และองค์กรจะต้องตอบสนอง หรือวางระบบในการรักษาไว้ซึ่งพนักงานแต่ละ Gen ได้อย่างไร

ผมมองว่า เรื่องของการรักษาไว้ ซึ่งพนักงานที่มีความรู้ความสามารถ ให้ทำงานกับองค์กรนั้น เป็นสิ่งที่สำคัญมากในการบริหารธุรกิจปัจจุบัน เนื่องจากคนเก่ง มีน้อย อีกทั้งยังมักจะถูกซื้อตัวกันเป็นว่าเล่น ถ้าองค์กรไม่สามารถที่จะรักษาคนเหล่านี้ไว้ทำงานกับองค์กร เราก็จะเสียคนเก่งๆ ไปอยู่ตลอดเวลา ซึ่งการเสียคนเก่งนั้นนอกจากทำให้ธุรกิจขาดช่วงแล้ว ยังถือว่าเป็นการเพิ่มต้นทุกในการบริหารคนมากขึ้นไปอีก เพราะต้องลงทุนในการสรรหาใหม่ คัดเลือกใหม่อีก เข้ามาแล้วก็ต้องลงทุนในการพัฒนาเขาอีก รวมๆ แล้ว ต้นทุนในการหา และพัฒนาคนนั้น สูงกว่าการที่เรายอมลงทุนรักษาคนเก่งไว้ในองค์กร เราลองมาดูกันว่า ในแต่ละ Gen จะมีวิธีการรักษาพนักงานได้อย่างไรบ้าง

Baby Boomer เมื่อคน Gen นี้เข้ามาทำงาน หรืออยู่ทำงานในองค์กรมาสักพัก สิ่งที่จะรักษาไว้ซึ่งคน Gen นี้ จะประกอบไปด้วย
Flexible Benefits ซึ่งสามารถที่จะให้พนักงานเลือกได้ โดยคนกลุ่มนี้จะเน้นไปในเรื่องของ Health care มากกว่าคนกลุ่มอื่น เนื่องจากอายุที่มากขึ้น และต้องการความมั่นคงหลังเกษียณอายุนั่นเอง
สภาพการทำงานที่ยืดหยุ่นมากขึ้น เช่น ยอมลงทุนทำระบบให้คนกลุ่มนี้สามารถที่จะนั่งทำงานที่บ้านได้บ้าง โดยไม่ต้องเดินทางมาทำงานที่บริษัท เพราะด้วยอายุที่มากขึ้นทำให้การขับรถ หรือการเดินทางไกลๆ อาจจะไม่สะดวก ก็สามารถยืดหยุ่นให้คนกลุ่มนี้สามารถทำงานที่บ้านโดยผ่านเทคโนโลยีสมัยใหม่ได้
ให้ความยอมรับนับถือในประสบการณ์ คนกลุ่มนี้มักจะชอบให้องค์กรยอมรับนับถือเขาในฐานะผู้ที่มีประสบการณ์ในการทำงานมานาน ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากกว่าคนอื่น ดังนั้น ถ้าเรามอบหมายงานในลักษณะที่ให้เขาได้ใช้ความรู้ ทักษะ และประสบการณ์ที่มีมาเสริมสร้างคนรุ่นใหม่ให้เก่งขึ้น เขาก็จะชอบ เช่น ให้เป็น Coach หรือ ให้เป็นผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งเป็นคน certify พนักงานใหม่ ในการทำงานบางอย่าง เขาจะรู้สึกว่าองค์กรกำลังให้การยอมรับ และนับถือเขาในฐานะผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนั้นๆ
ยังชอบงานที่ต้องใช้ความคิดและท้าทาย คนส่วนใหญ่มักจะมองว่า คนกลุ่มนี้อายุเยอะแล้ว อะไรๆ ก็คงไม่สะดวกไปหมด แต่จริงๆ แล้วสมองของคนกลุ่มนี้ยังคงใช้ได้อยู่ ด้วยคน Gen นี้เองก็บอกไว้ชัดเจนว่า ต้องการงานที่อาศัยความคิดความอ่าน และมีความท้าทายมากขึ้นเรื่อยๆ ที่ทำมาประจำ หรือนานๆ มาแล้ว ก็เบื่อ อยากได้งานที่ท้าทายมากกว่าเดิม คนกลุ่มนี้จะรู้สึกถึงคุณค่าของตนเองให้องค์กรมอบหมายงานโครงการบางอย่างที่ท้าทายความสามารถของตน เพราะเขาจะรู้สึกว่าองค์กรไม่ได้ทอดทิ้งให้เขาเป็นคนแก่ ที่ทำงานไปวันๆ แต่องค์กรกำลังให้ความสำคัญกับความรู้และประสบการณ์ของเขาที่มีอยู่ มาสร้างผลงานที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนให้กับองค์กรได้
Generation X เมื่อคน Gen นี้เข้ามาทำงาน หรืออยู่ทำงานในองค์กรมาสักพัก สิ่งที่จะรักษาไว้ซึ่งคน Gen นี้ จะประกอบไปด้วย
สไตล์การบริหารงาน คน Gen นี้ชอบที่จะทำงานเอง โดยไม่ต้องมาสั่งมาก หรือตามมาก และไม่ต้องมาควบคุมอย่างใกล้ชิดมากเกินไป ดังนั้นสั่งงานแล้ว ก็ปล่อยให้เขาทำ คอยดูเป็นระยะๆ คน Gen นี้ต้องการ Feedback เช่นกันว่า สิ่งที่ทำไปนั้นมันดี หรือไม่ดีตรงไหน จะได้ปรับปรุงให้ดีขึ้นได้
บรรยากาศการทำงานแบบครอบครัว คน Gen นี้เป็นคนที่รักครอบครัว ดังนั้นในการทำงานที่จะทำให้เขารู้สึกอยากทำงาน และไม่อยากลาออกไปไหนเลย ก็คือ การสร้างบรรยากาศในการทำงานแบบครอบครัว มีความเป็นพี่เป็นน้องกัน มีความสนุกสนานในการทำงานในองค์กร
Work-Life Balanceองค์กรที่สามารถสร้างระบบ work-life balance ให้เกิดขึ้นได้นั้น จะสามารถรักษาคน gen ได้ดีมาก ระบบการทำงานให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น ไม่เข้มงวดจนเกินไป หรือไม่หย่อนจนเกินไป ทำให้เขาสามารถที่จะทำงาน และสามารถที่จะให้เวลากับชีวิตส่วนตัวไปพร้อมๆ กันได้ ก็จะทำให้คน Gen นี้ไปลาออกไปไหนอย่างแน่นอน
มีระบบการพัฒนาความก้าวหน้าทางสายอาชีพ การรักษาไว้ซึ่งคนกลุ่มนี้ องค์กรจะต้องสร้างระบบ Career Path และระบบการพัฒนาคนอย่างต่อเนื่อง และมีความชัดเจนมากพอ คือทำงานแล้วรู้สึกว่าสามารถเติบโตไปได้เรื่อยๆ คนกลุ่มนี้อาจจะไม่ได้มองเรื่องการเติบโตเป็นลักษณะของตำแหน่งงาน แต่เขาจะมองการเติบโตก็คือ การที่เขาสามารถรับผิดชอบงานที่ใหญ่ขึ้นได้ ยากขึ้นได้ ซึ่งอาจจะไม่ได้มีชื่อตำแหน่งอะไรเลย แต่ถ้างานยากขึ้น ท้าทายขึ้น และได้พัฒนาตนเองมากขึ้น คนกลุ่มนี้ก็จะรู้สึกว่าตนเองเติบโตในองค์กร
Generation Y เมื่อคน Gen นี้เข้ามาทำงาน หรืออยู่ทำงานในองค์กรมาสักพัก สิ่งที่จะรักษาไว้ซึ่งคน Gen นี้ จะประกอบไปด้วย
การให้การยอมรับนับถือในความเห็น คนรุ่นนี้อายุยังไม่มาก แต่ชอบที่จะทำงาน และคิดอะไรใหม่ๆ และไม่ต้องการให้คนอื่นมองว่าเขานั้นยังเด็ก เพราะถือว่าเป็นการดูถูกเขาอย่างมาก คนกลุ่มนี้จะชอบองค์กรที่ให้ความสำคัญกับงานที่เขาทำ ความคิดที่เขาคิด และมองว่าเขาเป็นกำลังสำคัญในการสร้างความสำเร็จให้กับองค์กร ถ้าองค์กรหรือหัวหน้างานไปบริหารคนกลุ่มนี้ โดยมองว่าเขาเป็นเด็ก ไม่โต และไม่น่าจะทำงานใหญ่ได้ เขาก็จะไปทำงานที่อื่นที่ยอมรับเขานั่นเอง
ความก้าวหน้าทางสายอาชีพที่ชัดเจน การที่องค์กรมีการกำหนดเส้นทางความก้าวหน้าทางสายอาชีพ และมีบอกถึงกฎเกณฑ์ และแนวทางที่จะก้าวหน้าไปตามสายอาชีพไว้อย่างชัดเจน จะทำให้ Gen Y รู้สึกว่าทำงานแล้วมีคุณค่า ดังนั้นจะไม่ไปทำงานที่อื่น ในทางตรงกันข้ามถ้าองค์กรไม่มีเรื่องเหล่านี้เลย เขาก็จะสงสัยว่าแล้วตัวเองจะโตไปไหน จะมีโอกาสเติบโตจริงๆ หรือเปล่า สุดท้ายก็ไปอยู่กับองค์กรที่มีระบบเหล่านี้ที่ชัดเจน
มีการใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมคนรุ่นนี้เติบโตมากับเทคโนโลยีต่างๆ มากมาย ก็เลยต้องการให้องค์กรมีเทคโนโลยีที่ทันสมัย มีเครื่องไม้เครื่องมือที่เรียกว่าเป็นรุ่นล่าสุดอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นถ้าองค์กรของเรามีเรื่องของเทคโนโลยีอันทันสมัย ก็จะยิ่งทำให้คนกลุ่มนี้อยากอยู่ทำงานกับองค์กรมากขึ้น
ต้องการ Feedback คนกลุ่มนี้เวลาทำงานด้วยจะต้องการให้คนที่เป็นหัวหน้าคอยบอกว่าผลงานที่ออกมานั้นเป็นอย่างไรบ้าง และต้องการสิ่งเหล่านี้มากกว่า Gen X เพราะเขาต้องการให้นายให้ความสำคัญกับเขามาก มองเขาเป็นคนสำคัญคนหนึ่งองค์กร เวลาที่ทำงานสำเร็จก็อาจจะมีรางวัลเล็กๆ มอบให้ เช่น บัตรกำนัล คูปองกาแฟฟรี ฯลฯ เพื่อเป็นการบอกเขาว่า เรากำลังให้ความสำคัญกับเขาอยู่
สิ่งที่กล่าวไปทั้งหมด ก็คือ แนวทางหลักๆ ที่จะสร้าง Retention ให้เกิดขึ้นในกลุ่มพนักงานในแต่ละ Gen และเนื่องจากความต้องการของแต่ละ Gen มีความแตกต่างกันบ้าง บางอย่างก็คล้ายๆ กันบ้าง คราวนี้ก็คงจะต้องมาพิจารณาดูแล้วว่า ระบบการบริหารคน และบริหารงานขององค์กรจะต้องเป็นอย่างไร ระบบ HR จะต้องเน้นไปทางไหน ด้านใดบ้าง เพื่อที่จะทำให้คนทุก Gen ที่มีความต้องการที่ไม่เหมือนกัน สามารถที่จะทำงานร่วมกันได้ และรู้สึกอยากอยู่ทำงานกับองค์กรนี้ไปตลอด
ตอน 5

จาก 4 ตอนที่ผ่าน ผมเชื่อว่าท่านผู้อ่านน่าจะพอเห็นและเข้าใจในคุณลักษณะของคนในแต่ละ Gen ไปบ้างไม่มากก็น้อย และเมื่อเราเข้าใจลักษณะที่แตกต่างกันในแต่ละ Gen แล้ว สิ่งที่ผู้บริหาร และ ฝ่ายทรัพยากรบุคคลจะต้องดำเนินการต่อ ก็คือ การวางระบบการบริหารงาน และบริหารคน เพื่อที่จะทำให้คนทั้ง 3 Gen สามารถทำงานร่วมกัน และ สร้างผลงานให้กับองค์กรได้ตามเป้าหมายที่กำหนด

สิ่งที่สำคัญมากๆ ในการวางระบบการบริหารทรัพยากรบุคคลในองค์กรที่ต้องมีทั้ง 3 Gen ทำงานร่วมกันอยู่นั้น จะออกแบบการบริหารแบบสมัยก่อนไม่ได้อีกต่อไป ในอดีตระบบงานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นระบบการสรรหาคัดเลือก การพัฒนาคน การบริหารค่าตอบแทน และสวัสดิการ ฯลฯ องค์กรมักจะออกแบบเป็นระบบเดียว และใช้งานกับพนักงานทุกคน แต่ในยุคนี้เราไม่สามารถทำแบบนั้นได้อีกต่อไปสำหรับองค์กรที่มีหลาย Gen สิ่งที่ต้องยึดถือไว้ให้มั่นในการออกแบบระบบการบริหารทรัพยากรบุคคลก็คือ

ออกแบบโดยให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้นกล่าวคือ จะมีระบบเดียวก็คงจะไม่ได้อีกต่อไป การบริหารงานอาจจะต้องมีการเปิดกว้างมากขึ้น ออกแบบให้มีหลายระบบ ให้สอดคล้องกับความต้องการของคนในแต่ละ Gen เช่น ระบบการสรรหาคัดเลือก เราก็ไม่สามารถที่จะใช้วิธีเดียวได้อีกต่อไป ระบบการพัฒนา ก็ต้องดูให้สอดคล้องกับแต่ละ Gen ระบบการบริหารค่าตอบแทนและสวัสดิการต่างๆ ก็ต้องมีความยืดหยุ่นมากพอที่จะตอบสนองความต้องการของคนในแต่ละ Gen ได้อย่างดี
One size fits all ใช้ไม่ได้อีกต่อไป องค์กรที่มีพนักงานหลายหลายรุ่น แล้วทำระบบเดียวเพื่อใช้กับทุกคนในองค์กรนั้น เป็นไปไม่ได้อีกต่อไป ดังนั้นการที่เราจะวางระบบอะไรซักอย่างในองค์กร สิ่งแรกที่จะต้องพิจารณาก็คือ ระบบนั้นๆ มีความยืดหยุ่น และสามารถปรับปรุงเปลี่ยนแปลงได้มากสักแค่ไหน
นอกจากนั้น สิ่งที่เราจะต้องพิจารณาต่อก็คือ ทุก Gen จะมีบางอย่างที่เขามีความต้องการคล้ายๆ กัน ถ้าลองกลับไปอ่านบทความเก่าๆ ดู จะเห็นว่ามีสิ่งที่ทุก Gen ต้องการเหมือนกัน ก็คือ

ความก้าวหน้าในการทำงาน ทุก Gen ที่เข้ามาทำงานในองค์กร ล้วนต้องการความก้าวหน้าในการทำงาน ไม่มี Gen ไหนที่บอกว่า ไม่อยากก้าวหน้า
ได้มีโอกาสเรียนรู้ และพัฒนาทักษะใหม่ๆ อยู่เสมอ ซึ่งประเด็นนี้ก็คือ สิ่งที่จะไปส่งเสริมให้พนักงานเกิดความก้าวหน้าในการทำงานตามข้อแรกได้
ได้รับการยอมรับจากหัวหน้าของตนเอง ทุก Gen ล้วนต้องการ Recognition ที่ดีจากหัวหน้าของเราเอง ต้องการการชื่นชม การพูดคุย และบอกกล่าวในเรื่องของผลงานจากหัวหน้าของตนอยู่เสมอ
สภาพแวดล้อมในการทำงานที่ดี ทุก Gen ต้องการทำงานในสภาพแวดล้อมที่ดี ทำงานแล้วมีความสุข สนุกกับงาน กับเพื่อนร่วมงาน หัวหน้า
ค่าตอบแทนและสวัสดิการ ทุก Gen ต้องการเรื่องนี้เหมือนกัน ไม่มี Gen ไหนที่บอกว่าจะมาทำงานโดยไม่รับเงินเดือน หรือไม่ต้องการสวัสดิการที่ดี
เมื่อทราบดังนี้แล้ว การออกแบบระบบบริหารทรัพยากรบุคคลที่จะทำให้ ทุก Gen รู้สึกอยากทำงานกับองค์กรอย่างต่อเนื่อง ก็จะออกมาให้เราเห็นอย่างชัดเจน ระบบงานต่างๆ ที่องค์กรจะต้องสร้างให้เกิดขึ้นเพื่อให้การบริหารคนแต่ละ Gen ในองค์กรเป็นไปได้ด้วยดี สามารถดึงดูดและรักษาพนักงานไว้ได้ ก็มีดังต่อไปนี้ครับ

ระบบการพัฒนาคน การออกแบบระบบการพัฒนา Training Roadmap ต่างๆ ที่สอดคล้องกับตำแหน่งงาน และความก้าวหน้าของตำแหน่งงาน
ระบบความก้าวหน้าในสายอาชีพ เป็นระบบที่สามารถบอกพนักงานได้ว่า เข้ามาทำงานที่นี่แล้วจะสามารถเติบโตไปทางไหนได้บ้าง สายอาชีพ สายบริหาร สายเทคนิค ฯลฯ และมีการกำหนดแนวทางในการเติบโตอย่างชัดเจน ว่าจะต้องทำผลงานอะไร อย่างไร ใช้เวลาสักเท่าไหร่ เพื่อให้พนักงานมองเห็นอนาคตของตนเองในบริษัท
สร้างสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ยืดหยุ่นมากขึ้น เช่น เรื่องของการแต่งกาย เรื่องเวลาการมาทำงาน การให้พนักงานสามารถตกแต่งโต๊ะทำงานของตนเองได้อย่างอิสระ มีห้องนั่งเล่น มีเกมส์และกิจกรรมต่างๆ ให้ทำเวลาที่ทำงานมาเหนื่อยๆ ฯลฯ เพื่อการสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่เป็นกันเอง และมีความสนุกสนานอยู่ในตัว
ระบบค่าตอบแทนและสวัสดิการ ระบบนี้จะต้องออกแบบให้มีความยืดหยุ่นด้วยเช่นกัน อาจจะมีองค์ประกอบของโครงสร้างค่าจ้างที่แตกต่างกันออกไป ออกแบบองค์กรประกอบของค่าจ้างหลัก ค่าจ้างเสริม ค่าจ้างจูงใจให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น รวมทั้งระบบสวัสดิการที่ให้พนักงานสามารถเลือกได้ เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพชีวิตของพนักงานเอง
นอกจากระบบข้างต้นแล้ว สิ่งสำคัญมากกว่าเรื่องของระบบทั้งหมดที่กล่าวมา ก็คือ

การทำให้ผู้บริหาร ผู้จัดการ และหัวหน้างานทุกระดับ ที่ต้องดูแลลูกน้อง มีภาวะผู้นำที่ดี มีความเข้าใจในความแตกต่างกันของแต่ละ Gen และสามารถปรับตัว ปรับวิธีการทำงานให้มีความยืดหยุ่นได้มากขึ้น เช่น หัวหน้าอาจจะต้องเริ่มฝึกที่จะให้คำชมพนักงานบ้าง ให้ Feedback กับพนักงาน สอนงาน และบอกกล่าวผลงานแก่พนักงานแต่ละคนได้อย่างไม่ติดขัด นอกจากนั้นยังต้องเป็นคนที่สามารถสร้างความเป็นกันเอง สร้างบรรยากาศที่ดีในการทำงาน ปรับตัวปรับลักษณะของตนเองให้เข้ากับคนอื่นได้อยู่เสมอ ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่ยากอีกเรื่องหนึ่งที่จะต้องพัฒนาพนักงานระดับหัวหน้างานให้เกิดสิ่งเหล่านี้ขึ้น

ในการที่จะทำให้คนแต่ละ Gen ทำงานร่วมกันได้อย่างมีความสุข และรักษาพนักงานให้ทำงานกับองค์กรไว้นานๆ นั้น เราต้องอาศัยความเข้าใจซึ่งกันและกัน องค์กรเองก็ไม่ควรจะให้ความสำคัญกับ Gen ใด Gen หนึ่งมากจนเกินไป จนลืม Gen บาง Gen ไป เพราะนี่ก็คือการสร้างความขัดแย้งให้เกิดขึ้นได้ในระยะยาว บางองค์กรให้ Gen อื่นๆ เรียนรู้ความต้องการของ Gen Y แต่ไม่เคยคิดที่จะให้ Gen Y เรียนรู้และเข้าใจ Gen อื่นๆ เลย

เพราะเท่าที่ผมเห็นในปัจจุบันองค์กรมักจะให้ความสำคัญกับ Gen Y จนมากเกินไป จนทำให้ลืม Gen อื่นๆ ซึ่งก็ยังคงเป็นคนที่สร้างผลงานให้กับองค์กรอยู่เช่นกัน

อนาคตของตัวเรา

ไปได้เอกสาร Annual Salary Survey ของ Adecco มา
เป็นของปีที่แล้ว สรุปผลสำรวจ ความต้องการแรงงานที่ Adecco จัดหาคนเข้าไปให้ สีอ่อนคือ ระดับเงินเดือนน้อยสุด และ สีเข้มคือ ระดับเงินเดือนสูงสุด (อันนี้คือ นายจ้างกำหนดให้ ไม่ใช่ที่ผู้สมัครเรียกนะ)
แผนภูมิด้านล่าง แบ่งเป็น สองอัน หนึ่งคือ สำหรับตำแหน่งงานใหม่ ๆ ผู้จบใหม่ และ ทำงานไม่ถึงห้าปี
อีกอันด้านล่าง จะเป็นของกลุ่มผู้มีประสบการณืมากกว่า 5 ปีขึ้นไป

ที่เห็นได้เด่นชัดสำหรับผู้เริ่มงานใหม่ ๆ คือ ช่องกว้างของตำแหน่งงานทางวิศวกรรม และ การเงิน (น้อยสุด มากสุด) จะมีความกว้างมากกว่า สายงานอื่น ๆ
นั่นคือ ความหลากหลายของสาขาที่ทำ เราเองเป็นสายงานวิศวกรรม ยังมีตั้งแต่ เอกสารดรออิ้ง วัสดุ วางแผนการผลิต วางแผนโครงการ ฝ่ายผลิต ฝ่ายโครงสร้าง ออกแบบ ฯลฯ
จากอายุงานของผม (ไม่อยากบอกว่าประสบการณ์มันเก่าแล้ว) ในตลาดแรงงานจะมีคนหมุนเวียนกันไป เก่าไหนใหม่นี่ เงินเดือนก็ขึ้นลงหมุนเวียนกันไป
ความเป็นส่วนของทีมยังเป็นผู้ลงมือทำ คือ สองมือสองขา ทำเข้าไป (ยังไม่รวม การเรียนต่อ ความสามารถทางภาษา ทักษะคอมพิวเตอร์ และ การทำงานร่วมกับทีม-คน)
จนกว่าจะผ่านห้าปีแรกไป

ขณะนี้ในตลาดแรงงานของทั้งโลก มีคนสามกลุ่ม
– Baby Boomer พวกผู้บริหารระดับสูง ผ่านสงคราม ความอดอยาก สร้างตัวขึ้นมาเอง เสื่อผืนหมอนใบ พวกนี้ เชื่อว่า การทำงานหนัก คือ หนทางเดียวที่จะประสบความสำเร็จ จะมองคนอื่นว่าขี้เกียจด้วยซ้ำไป
– Gen X พวกนี้ เป็นรุ่นต่อมา ชีวิตเริ่มดีขึ้นบ้าง แต่ยังไม่สมบูรณ์แบบ เป็นรุ่นใช้เทคโนโลยี่แรก ๆ อยากมีความมั่นคง อยากมีความสมบูรณ์แบบ ส่วนมากก็คือวัยที่เป็นหนี้นั่นเอง พวกนี้ งานหนักก็ไม่ค่อยเต็มที่ จะว่าเบาก็ไม่เชิง แต่ต้องการมีชีวิตไลฟ์สไตล์ กินเที่ยววันศุกร์ ช็อปปิ้ง ฯลฯ
– Gen Yพวกนี้กำลังมาแรง ชอบอิสระ เสรี ชีวิตเกือบจะถูกกำหนดมาโดยพ่อแม่ หาให้ทุกอย่าง ไม่ใคร่จะสนในกระบวนการทำงาน มองที่งานเสร็จอย่างเดียว ไม่ชอบกรอบ จะมาเช้าสาย เดินไปมา ขอให้งานเสร็จ อยู่กับ IT ในสายเลือด ไม่ชอบทนอะไรนาน ๆ มองการทำงานหนัก ทุ่มเท เป็นเรื่องประหลาด (เพราะคิดว่ามีวิธีอื่นตั้งเยอะที่จะทำงานได้ผลลัพธ์แบบนั้น)
สิ่งที่เป็นความต้องการของทุก ๆที่ คือ การทำงานร่วมกันของคนทั้งสามกลุ่มนี้ การดูแลปฏิบัติต่อกัน ให้ทำงานร่วมกัน ออกมาได้ผลดี เป็นเรื่องยากที่จะทำได้ หลาย ๆ องค์กรจัดตั้งองค์กรทรัพยากรมนุษย์ขึ้นมาเป็นเรื่องเป็นราว เพราะการปฏิบัติต่อพนักงานมีความหลากหลายมากขึ้น ต้องทำให้เกิดความกลมกลืนกันไปทั้งหมด หลายคนที่เคยเป็นท็อปของชาร์ตอันแรก กลับมาเป็นกิ้งกือตกท่อในขั้นตอนนี้ เพราะ ทำงานร่วมกับคนอื่นไม่ได้ หรือ ลำบาก จะลงมือทำเองทุกอย่างอย่างบ้าคลั่ง แต่ไม่มีทางเลยที่จะสามารถนำพาทีมไปด้วยกันทั้งหมด เราจะเห็นผจก.หลาย ๆ ผจก.ที่เหมือนจะแย่งงานลูกน้องทำทั้งหมด ขณะที่ลูกน้องก็จะชิลด์ ชิลด์ ไปเรื่อย ๆ (คนละรุ่นกัน) ฯลฯ ปัญหาหนักอกของทุกที่ คือการจัดสรรทรัพยากรมนุษย์เข้าทำงานที่เหมาะสม และ ดูแลเขาเหล่านั้นให้สร้างผลผลิตออกมาอย่างเต็มที่ (คนจะปล่อยพลังออกมาเต็มที่ ถ้าได้รับการตอบสนอง หรือ สิ่งเร้าที่เหมาะสม)
ทั้งหมดที่บอกมา เพื่อเป็นข้อคิดให้กับทุก ๆ คนว่า การจะเติบโตไปข้างหน้านั้น พรสวรค์ ก็ส่วนหนึ่ง พรแสวงก็ต้องมี การทำงานคือการทำร่วมกับ “คน” เรียนรู้ “คน” เรียนรู้ที่จะอยู่กับ “คน” แล้วเราจะมีอนาคตที่แจ่มใสในการทำงาน (ที่บอกว่าเรียนรู้ หมายถึง พฤติกรรม และ ความต้องการของแต่ละคนนั้น ไม่เหมือนกัน)

เราอยากจะก้าวต่อไปทางสายงานวิศวกรรม มองหาลักษณะเฉพาะของตัวเอง มองตัวเองให้ออกว่าเราเด่นด้านไหน เสริมเติมเข้าไปด้วยการดูแลคน (ทีม) ทั้งเคาะ ทั้งสอน ทั้งด่า ก็ว่ากันไป เราอาจจะไม่เคยให้คุณให้โทษใครเลย คิดไว้บ้างไหมว่าสักวันถ้าเราต้องทำแบบนั้นเราจะทำอย่างไร ประสบการณ์ตรงมีให้เห็นอยู่ “เอาดีเข้าตัว เอาชั่วให้คนอื่น” มากมาย ไม่ใช่เพราะเขาเป็นคนแบบนั้น แต่เขาไม่ได้”ถูกสร้าง”มาเพื่อเป็นคนแบบนั้น มันสร้างได้ครับ ขอให้ผู้ที่มุ่งมั่นจริง ๆ ก้าวหน้าและ ประสบความสำเร็จต่อไป

20130716-234309.jpg

20130716-234323.jpg

Manager talk special 20130406

Manager talk special
สวัสดีครับ
Manager Talk ฉบับนี้เป็นฉบับพิเศษออกตามเทศกาล ผมตั้งต้นเรื่องไว้เมื่อสองสามวันก่อนแล้วตั้งกะเกิดข่าวปฏิบัติการพายุทะเลทรายแบบปุบปับของเจ้านายฝ่ายปฏิบัติการของประเทศไทย ผมตั้งใจแนบเยื้อหาของฉบับก่อนหน้านี้ประมาณปีหนึ่งมาแล้ว เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงแบบ”ผลัดแผ่นดิน”เช่นนี้ ทุกสิ่งล้วนมีเกิด ตั้งอยู่ และดับไปเสมอ คลื่นลูกใหม่ก็จะมาแทนลูกเก่า กงเกวียนกำเกวียนจะหมุนเวียนไปเรื่อยเช่นนี้ต่อไป ผมนำเรื่องนี้มาพูดเพื่อให้ทุกคนเข้าใจสถานการณ์การปฏิบัติงานของงานโครงการเราในตอนนี้ งาน Allseas ล่าช้าและจะต้องส่งมอบภายในเดือนมิถุนายนนี้ อีกไม่นานเลยครับ เรายังมาไม่ถึงครึ่งทาง งาน Manora ก็เช่นเดียวกัน งานล่าช้าและมีแววว่าจะไม่สามารถบรรลุวันส่งมอบให้งานออฟชอร์ในเดือนตุลาคมนี้ทันครับ ทางบริษัทเองจะต้องมีการนำวิธีการต่างๆมาปรับใช้เพื่อแก้ไขสถานการณในเวลานี้ให้กลับสู่ภาวะที่เรายังจะสามารถบรรลุความสำเร็จของโครงการได้ สรพพกำลังและกลยุทธทั้งใต้ดินบนดินก็ต้องนำมาใช้หมด
ทีมงานของเราเองทุกส่วนฝ่าย ทุกผู้คนตั้งแต่ระดับปฏิบัติการ หัวหน้า หลีด รวมถึงผู้จัดการ ทุกคนมีหน้าที่ความรับผิดชอบต่อการทำงานในส่วนของตนทั้งนั้นครับ แล้วแต่ว่าแต่ละคนจะทำอยู่ในหน่วยไหนส่วนไหนของการส่งมอบ ไม่มีใครสำคัญน้อยกว่าใคร ผมเคยเขียนเรื่องการให้ความสำคัญกับ ลำดับของงาน ขั้นตอนการทำงาน และวิธีการทำงาน ซึ่งเราทุกคนจะต้องไปทำความเข้าใจงานของเราให้ดี ลำดับของงานเรานั้นอยู่ตรงไหน ก่อนหน้าใคร มีใครจะใช้งานของเราไปทำงานของเขาต่อไหม ในการจะทำงานดีๆให้กับคนอื่นเอาไปใช้งานต่อนั้น ขั้นตอนในแต่ละขั้นมีอะไรบ้างต้องมีอะไรเข้าหรือออกจากกระบวนการ จะป้องกันข้อผิดพลาดได้อย่างไร และแม้แต่หากเกิดความผิดพลาดขึ้นมาจริงๆจะแก้ไขมันได้อย่างไร เกี่ยวกับเรื่องความผิดพลาดหลายคนนิยมและชื่นชมผู้”แก้ปัญหา”เช่นแก้เร็วฉับไวเด็ดขาด อุปมาดั่งผู้ว่าฯเดินลุยน้ำไปสั่งสูบน้ำทิ้งปิดเปิดโน่นนี่ ขณะที่บางคนมุ่งไปที่การ”ป้องกันไม่ให้เกิดปัญหา” คือไปที่ต้นตอมันแล้วหาทางกำจัดสิ่งที่ทำให้เกิดปัญหาเสีย มันก็จะไม่มีปัญหามาให้แก้ คนสองแบบนี้มักไม่ค่อยได้ปรากฏตัวอยู่ด้วยกันเพราะชอบการทำงานคนละแบบก็ต้องอยู่คนละสถานการณ์กัน แต่ในทั้งสองสถานการณ์นั้นจะมีคนอีก”แก้”หนึ่งอยู่ด้วย นั่นคือ”แก้ตัว” ซุ่งจะสอดไส้เป็นยาดำอยู่ในตัวของทุกคน ผมก็มีอารมณ์นั้นเหมือนกันครับ แต่ในที่สุดผมพบว่าการมุ่งไปที่การ”แก้ตัว”มันไม่ได้อะไรกับชีวิตผมเลย ผมข้ามกระบวนการปรับปรุงตัวเองไปอย่างง่ายๆด้วยการ”แก้ตัว” หากเป็นการตัดสินใจแบบมีสติ ผมจะพยายามเลือกที่จะ”ยอมรับข้อผิดพลาด” และมองหา”โอกาส”ในการที่จะเรียนรู้จากความผิดพลาดนั้นเสมอๆครับ ใครจะลองดูบ้างก็ได้นะครับ ออกนอกเรื่องไปเสียไกล ท้ายสุดคือวิธีการทำงาน วิธีที่จะทำงานนั้นออกมา บางคนสับสนไปมองว่าวิธีคือคอมพิวเตอร์ หรือซอฟตท์แวร์อะไรที่ช่วยงาน ไฟดับก็นั่งนิ่งกันหมดเพราะไม่มี”วิธีการทำงาน” มันใช่หรือเปล่านั้นผมไม่แน่ใจ ความหมายนิยามที่ผมเข้าใจคือวิธีการทำงานของแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนลงมือศึกษา หาความรู้ทั้งจากตำราอ้างอิง บุคคล หรืออื่นๆ หาอุปกรณ์ช่วยงานมาเพิ่มเพื่อป้องกันความผิดพลาด ลงมือทำฉบับร่างเพื่อสอบทาน ส่งให้ผู้รู้ช่วยขัดเกลา เน้นข้อดีเสีย ฯลฯ จนท้ายสุดออกมาเป็น “ผลงาน” นี่คือวิธีการทำงานที่ผมเข้าใจแบบหนึ่ง ทางฟิสิคส์งานเท่ากับแรงคูณระยะทาง คือง่ายๆต้องออกแรงบ้างเสียเหงื่อบ้าง ไม่มีงานอะไรที่ออกมาได้แบบไม่ต้องลงแรงครับ ถ้าวิธีการไม่ดี แรงจะต้องใช้เยอะ หาวิธีการที่เหมาะสม ประหยัดแรงครับ อันนี้ไม่รวมการทำงานด้วยปากนะครับ แม้แต่ปากก็ยังต้องใช้แรงเช่นผู้ทำการพากย์เรือยาวตอนแข่งขันเคยดูกันใช่ไหมครับ

มันเจ๋งมาก

วันนี้ได้เห็นสิ่งประหลาดนี้ ในร้านอาหาร มองๆควานหาสายต่อหรืออะไรก็ไม่มี มีสามปุ่ม เรียกพนักงาน เช็คบิล และ ยกเลิก
อดใจรอระหว่างกินอาหาร ต้องใช้ให้ได้ รอจนปลอดคน คือไม่มีพนักงานอยู่รอบๆ จึงกดปุ่มเช็คบิล หูแว่วๆเหมือนได้ยินเสียง ตี๊ดๆ อึดใจเดียว พนักงานเดินปรี่มาเหมือนเราทำอะไรผิด แล้วพูดสุภาพว่า คิดเงินใช่ไหมครับ บอกว่าใช่ สังเกตดูที่ข้อมือเขาใส่เหมือนนาฬิกาแต่มันจอฟ้ากะพริบๆ พอเขาเดินไป เด็กอีกคนเดินเอาถาดบิลมาให้เลย เร็วมากๆ
แอบถามเด็กที่เช็ดโต๊ะ เด็กบอกว่า เครื่องนี้มีทุกโต๊ะ กดแล้วจะไปดังที่ข้อมือหัวหน้า ทั้งร้านมีสามโซน ไอ้พวกหัวหน้านี่จะไปขี้เยี่ยวนัยคงลำบาก เพราะต้องปราดเข้ามาทันที ในขณะที่สัญญานมันก็ไปโผล่ที่แคชเชียร์ให้รันบิลด้วย ประสานกับที่เขามาขัดตาทัพเราแป๊บ จึงเหมือนบิลลอยมาเข้าหน้าให้เงินเราลอยออกไปอย่างเต็มใจ!!
เทคโนโลยี่สมัยนี้รองรับงานบริการได้อย่างดี หัวใจงานบริการคือสุภาพประทับใจรวดเร็วและแม่นยำ ไอ้เครื่องนี้โดนใจจริงๆ
เมื่อหลายปีก่อนเคยพูดเล่นๆกับเพื่อนว่า ถ้าจอสัมผัสมันพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ลูกค้าอาจจะสามารถนั่งสั่งอาหารได้เอง ไม่ตเองเรียกพนักงาน จะเอาอะไรไม่เอาอะไรก็ติ๊กเอาเอง รายการไปขึ้นหน้าพ่อครัวตามคิว อะไรก่อนหลัง เด็กที่เดินอาหารก็ปล่อยของตามคิว มันจะสะดวกน่าดู นึกว่าจะตายก่อนเห็น วันนี้ได้เห็นแล้วจริงๆ
อนาถใจกับบางที่บางคน ที่ยังดักดานอยู่กับโลกในกะลาครอบเก่าๆ ไม่มองดูคนอื่นเขาบ้างเลย คนทึ่มจะให้ทำยังไงก็ได้แค่คมแบบทู่ๆ ระอามาก

20130707-205749.jpg

Manager Talk 20130429

สวัสดีครับ
เวลาผ่านไปไวเหลือเกินนะครับ วันนี้วันที่ 29 เดือนสี่เข้าไปแล้ว หนึ่งในสามของปีกำลังจะผ่านไป นึกนย้อนไปเมื่อตอนต้นปี ตั้งใจไว้หลายอย่างว่าจะทำนั่นโน่นนี่ เคยลองนั่งเรียบเรียงและมาร์คเรื่องที่ได้เริ่มลงมือทำไปบ้างแล้ว ยังไม่ถึงครึ่ง ไหนจะยังไม่คืบหน้าไปไหนอีก นั่นไม่ได้หมายความว่าเราตั้งเงื่อนไขไว้เยอะ แต่นั่นเป็นการบอกกับตัวเองว่า เราน่าจะต้องปรับปรุงอะไรบางอย่าง ทั้งการเรียบเรียงความสำคัญ การจัดสรรเวลา และ การวางแผนงานต่าง ๆ ที่ผมหมายถึงนี่ไม่ใช่เฉพาะเรื่องงานนะครับ เรื่องของตัวเองก็ด้วย เพราะ งานมันแค่หนึ่งในสามของชีวิต อีกหนึ่งในสามถึงหนึ่งในสี่เราก็ใช้ไปกับการนอนหลับพักผ่อน เหลืออีกหน่อยเดียวเป็นเวลาของชีวิต เดี๋ยวนี้ฝรั่งมีคำว่า Work-Life Balance กำลังมาแรงครับ ลองฟังติด ๆ หูไว้ ไม่นานบ้านเราก็ต้องเป็นแบบนั้นน่ะครับ
พูดถึงไอ้เวลาส่วนตัวที่เหลือนี่ แต่ละคนก็จะเอาไปใช้ไม่เหมือนกันนะครับ บางคนมีครอบครัวต้องดูแล ต้องเอาเวลานั้นไปทำงานเพิ่มเพื่อรายได้ก็มี บางคนเอาไปสันทนาการพักผ่อนบันเทิงเริงใจ บางคนเอาเวลาไปศึกษาเพิ่มเติม นั่นโน่นนี่ พวกเราทั้งหลายเอาเวลาไปทำอะไรกันบ้างครับ ผมแก่แล้วมีคนแนะนำให้ไปเข้าวัดเข้าวาซะบ้าง คงจะหวังดีว่าเวลาจะได้เจอพระเจ้าคงจะเหลือน้อยลงทุกทีแล้วนั่นเอง แต่กลับมาคิดอีกทีผมยังมีสิ่งที่อยากทำอีกหลายอย่างเลยที่ยังไม่ได้ “ลงมือทำ” มันก็ผ่านไปเรื่อย ๆ ไม่ช้าไม่นานมันอาจจะเป็นแค่คำอุทานของตัวเองว่า “รู้งี้กูทำไปตั้งนานแล้ว” คือ รู้สึกเสียดายก็เมื่อสายไปแล้ว ไม่มีที่ไหนในโลกนี้ครับที่คำว่า Success มาก่อนคำว่า Work ยกเว้นในดิคชันนารี่ อยากได้ต้องลงมือทำ ผมต้องเน้นคำนี้กับตัวเองให้มากขึ้นไปอีก
น้อง ๆ หลายคนตั้งแต่เรียนหนังสือมาตั้งแต่เด็ก ๆ โดยเฉพาะน้องๆเจน วาย (Generation Y) ที่ต้องคร่ำเคร่งกับการเรียนที่ยัดเยียดใส่กันตั้งแต่เล็ก ๆ จนอายุยี่สิบต้น ๆ พอออกจากการศึกษามาได้ก็ตั้งใจว่าจะใช้ชีวิตอิสระเสรีให้เต็มที่ พอกันทีกับการเรียนเบื่อเต็มทน อยากขอเตือนว่า เราอาจจะแค่ขอหยุดพักสักระยะ เพื่อนำเอาความรู้ที่ได้ร่ำเรียนมาลองมาปรับใช้กับการทำงานว่ามันลงตัวไหม ไม่มีทฤษฏีและตำราเล่มไหนสอนไว้เป๊ะ ๆ ว่าชีวิตอีกสี่สิบปีต้องทำอย่างไรต่อไป (จะเห็นว่าการเรียนการสอนให้เป็นผู้เป็นคนก็ใช้เวลาประมาณหนึ่งในสามเช่นกัน ถ้าคิดว่าเราจะทำงานไม่ไหวที่อายุหกสิบ) หลังจากที่เราหยุดพักสักครู่แล้ว การเรียนรู้ต้องกลับมาครับ ผมแอบเห็นใจคนที่มองคนอื่นด้วยมาตรฐานและคุณวุฒิทางการศึกษา เห็นใจคนมองนะครับ ไม่ใช่เห็นใจคนถูกมอง เพราะการตัดสินคุณค่าของคนด้วย”เปลือก”นั้นสะท้อนให้เห็นวุฒิภาวะทางอารมณ์ ทัศนคติทางลบ และ ปมปัญหาในใจลึก ๆของผู้นั้นได้เป็นอย่างดี คนที่”ไม่มีโอกาส”เรียนหนังสือ แต่ยังเปิดกว้างทางการเรียนรู้ให้กับตนเองอย่างต่อเนื่องนั่งเองที่เป็นผู้ตื่น ผู้เบิกบานอยู่ตลอดเวลา คนเก่งจะพร่องน้ำตัวเองไว้เสมอไม่ให้เต็มแก้ว ผู้ใดเห็นก็จะหยิบยื่นน้ำให้ แม้แต่ตนเองก็จะพยายามหาน้ำมาเติมในแก้วตนเองเสมอ ๆ นอบน้อมถ่อมตน ไม่ถือดีเป็นที่น่ารักน่านับถือในการวางตัวต่อผู้พบเห็น กลับกันกับผู้ที่ทำตัวเป็นคนน้ำล้นตลอดเวลาที่จะไม่ยอมรับน้ำจากคนอื่น และ ไม่ใส่ใจในการหาน้ำมาเติมให้กับตัวเอง เพราะคิดว่าน้ำมั้นมันเต็มอยู่แล้วพอแล้วดีแล้ว พวกนี้ก็จะมีพฤติกรรมตรงกันข้ามกับอีกแบบ คือแสดงอาการถือดี อวดรู้ และ ไม่ถนอมน้ำใจผู้ที่หยิบยื่นน้ำมาให้ ไม่นานหรอกครับเรื่องแบบนี้ แค่พียงเราหยุดทุกคนก็แซงเราไปเพราะการหมุนต่อไปของโลกแล้ว อายุการทำงาน 60 ที่ผมว่านั้น ในตอนเด็ก ๆ ผมเชื่ออย่างนั้น เพราะผมเป็นครอบครัวข้าราชการเล็ก ๆ ที่พ่อทำงานให้ลูกเรียนสี่คนจนเกษียณ รอบๆ บ้านก็จะมีลุงป้าน้าอาเพื่อนบ้านที่เป็นข้าราชการเช่นกัน ผมเลยคิดมาว่าคนเราต้องทำงานไปจนอายุหกสิบ “แต่”ไม่เกินสิบปีมานี่ ผมพบเห็นคนอายุมากกว่า 35-40 หลายรายที่ต้องเกษียณตัวเองก่อนเวลา (นั่นคือแค่ครึ่งเดียวของที่เคยคิดไว้ ทำงานแค่ 15 ปี) ในขณะที่อีกส่วนที่เหลืออยู่กับการทำงานที่ไม่มีความสุข เด็กใหม่ ๆ ขึ้นมาหายใจรถต้นคอเหยียบย่ำน้ำใจตลอดเวลา ค่าจ้างค่าออนไม่อิงกับประสบการณ์ที่สร้างมาทั้งชีวิตเลย ไม่รู้มันไปอิงเอาจากอะไร (เป็นเหมือนกันไปหมกทุกที่ ยกเว้นงานราชการ) ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ในยุคแห่งการเปลี่ยนผ่านนี้ วัยก่อนจะทองเป็นวัยที่น่าเป็นห่วงครับ เด็กรุ่นใหม่ ๆ ความรู้ในวิทยาการใหม่ ๆ พรั่งพรูมามากมาย สมัยก่อนใครเริ่มต้นประโยคว่า From my experiences…มันดูน่าทึ่ง น่าสนใจเป็นองค์ความรู้ที่เขาตกผลึกมาทั้งชีวิต น่านับถือ …. สมัยนี้ ใครใช้คำนั้นบ่อย ๆ มีแววสูงครับว่าจะต้องเอา my experiences ไปหาที่ใช้ที่เหมาะสมกับประสบการณ์นั้น ๆ ไม่ใช่ว่ามันไม่มีค่าครับ แต่การที่ไม่สามารถปรับใช้ให้เข้ากับ คน เหตุการณ์ และ สถานการณ์ต่าง ๆ นั่นหรอกที่ทำให้อยู่ร่วมกันไม่ได้
สำหรับตัวผมเองไม่เคยรู้สึกเช่นนั้นเลย จนวันนึงต้องไปยุ่งเกี่ยวกับการหาซื้อแอนดรอยด์ให้ญาติ เด็กหน้าร้านขายโทรศัพท์มือถือที่สัตหีบ (อายุไม่น่าเกินยี่สิบห้า)หน้าตาบ้านๆ ประแป้งรองพื้นแตก ๆ ย่นๆ ส่งรอยยิ้มให้ผมแล้วถามว่า “พี่จะให้หนูเซ็ตจีเมล์ให้พี่เลยไหมเคอะ” ผมตอบเบา ๆ แบบอายคนข้างร้านว่า “ไม่เป็นไรครับ” น้องขยี้ต่อว่า “พี่แน่ใจนะคะว่าพี่จะตั้งจีเมล์ได้ ถ้าพี่ไม่มีจีเมล์ พี่จะเข้าใช้ เพลย์สโตร์ ไม่ได้ ฯลฯ !@!@$#$%$%^%^* (ยาววววว….) แต่ไม่เป็นไรถ้าพี่ทำไม่ได้พี่ก็กลับมาอีกทีแล้วกันนะ”….. ผมคงต้องมองหางานหลังเกษียณบ้างแล้วหล่ะตอนนี้….

บุญรักษา

กัลญาณมิตร

ไปอ่านเจอความหมายดี ๆ ของกัลญาณมิตร มันเป็นหลักธรรมที่มีอยู่ด้วยนะ กัลญาณธรรม 7 ประการ
เราเองจะเลือกจะเจอใคร ก็ขอให้ได้แต่มิตรดี ๆ ที่เกื้อหนุน นำพาแต่สิ่งดี ๆ มาให้ มีแต่ความสุข และ เผื่อแผ่มันไปให้คนอื่นด้วยเช่นกัน
จะเป็นโชคดีมากสำหรับใคร ๆ ถ้ามีคนห้อมรอบเต็มไปด้วยกัลณาณมิตร น่าอิจฉามาก

ความหมายของกัลยาณมิตร

คำว่า “กัลยาณมิตร” แปลความหมายคำ “กัลยาณ” ว่า หมายถึง งาม, ดี และ “มิตร” หมายถึง เพื่อนรักใคร่ที่สนิทสนมคุ้นเคย ดังนั้น กัลยาณมิตร จึงมีความหมายว่า เพื่อนที่ดี, เพื่อนที่งาม หรือเพื่อนที่รักใคร่คุ้นเคยที่ดี, เพื่อนรักใคร่คุ้นเคยที่งาม

กัลยาณมิตร มิได้หมายถึงเพื่อนที่ดีตามความหมายทั่วไปเท่านั้น แต่เป็นผู้เพียบพร้อมด้วยคุณธรรม มีความตั้งใจประพฤติปฏิบัติธรรม ทำหน้าที่ของชาวพุทธที่ดี เพื่อยังประโยชน์ให้ถึงพร้อมทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น ผู้สั่งสอนแนะนำ ชักนำไปในหนทางที่ถูกต้องดีงาม
เมื่อดวงอาทิตย์อุทัยอยู่ ย่อมมีแสงอรุณขึ้นก่อนเป็นบุรพนิมิตฉันใด
การมีกัลยาณมิตรเป็นบุรพนิมิต แห่งการเกิดขึ้นของหนทางพระนิพพานแก่ผู้ประพฤติธรรมฉันนั้น
เมื่อเราเป็นกัลยาณมิตรภายในให้กับตนเองแล้ว ก็ต้องทำหน้าที่กัลยาณมิตรให้กับผู้อื่น โดยมีความสำนึกในหน้าที่อันสูงส่งนี้ว่า เป็นหน้าที่ที่มีเกียรติ มีค่าอย่างยิ่ง เป็นหน้าที่ของบัณฑิตและนักปราชญ์ทุกยุคทุกสมัย ต่างสรรเสริญและทำกันมาก่อนแล้วทั้งนั้น การทำหน้าที่กัลยาณมิตรภายนอก ทำได้โดย
ให้ความยิ้มแย้มแจ่มใส
ให้ความสดชื่นเบิกบานใจกับทุกๆ คน
ให้ความเป็นมิตร
ให้ความเป็นกันเอง ให้ความปรารถนาดีอย่างจริงใจกับทุกคน เป็นญาติยิ่งด้วยญาติ เป็นมิตรยิ่งด้วยมิตร
ให้คำแนะนำที่ดี
ชี้หนทางที่ถูกให้เดิน ดำเนินชีวิตที่ถูกต้องและเป็นไปเพื่อการสร้างบารมีอย่างแท้จริง
ให้อริยทรัพย์
แนะนำให้ทำบุญให้ถูกวิธีและถูกเนื้อนาบุญ เพื่อเปลี่ยนสามัญทรัพย์ให้เป็นอริยทรัพย์ติดตัวข้ามภพข้ามชาติ
ให้หนทางแห่งความสงบร่มเย็น
ให้ความสุขที่แท้จริงแก่บุคคลทั้งหลาย โดยการปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงธรรมกาย แนะนำบุคคลทั้งหลายออกจากกามโดยธรรม
ให้ชีวิตการเป็นกัลยาณมิตร
เวลาเป็นสิ่งมีค่ามากที่สุด เวลาที่ผ่านไปแต่ละวินาทีนั้นกลืนกินชีวิตของเราให้หมดไปด้วย แต่เพื่อประโยชน์แก่มวลมนุษย์ เราได้สละเวลาหรือชีวิต เพื่อทำหน้าที่กัลยาณมิตร ให้ทุกชีวิตได้เตรียมเสบียง ในการเดินทางในวัฎฎสงสาร ไปสู่จุดหมาย คือ นิพพาน

คุณสมบัติของกัลยาณมิตร
(กัลยาณธรรม 7 ประการ)

1. น่ารัก
เป็นบุคคลที่เห็นแล้วสบายใจ ชวนให้เข้าใกล้ปรึกษา ไต่ถาม มีความผ่องใสร่าเริง เบิกบานอยู่เป็นนิจ เสมือนพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ มีความสว่างไสวชุ่มเย็น มองครั้งใดก็มีแต่ความชื่นใจ ลืมความอึดอัดขัดข้องทั้งปวง
ผู้ที่ทรงคุณสมบัติเช่นนี้ได้ ต้องฝึกกิริยามารยาทให้เรียบร้อย นุ่มนวล สง่างามในทุกอิริยาบท ทุกบรรยากาศ มีความสะอาดทั้งกาย วาจา ใจ
กายสะอาด ไม่ได้หมายความเฉพาะร่างกายสะอาด นุ่งห่มเสื้อผ้าสะอาดเรียบร้อยเท่านั้น แต่ยังหมายรวมไปถึงการไม่แปดเปื้อนด้วยอบายมุขทั้งหลาย ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักขโมย ไม่เจ้าชู้ ไม่เสพสุรายาเมา ฯลฯ
วาจาสะอาด คือรู้จักสำรวมในคำพูด ไม่พูดเพ้อเจ้อ ส่อเสียด ยกตนข่มท่าน พูดให้ถูกกาลเทศะ
ใจสะอาด เป็นความบริสุทธิ์ที่อยู่ภายใน ใจมีความสง่ายิ่งกว่าดวงอาทิตย์ตอนเที่ยงวัน แม้จะมองไม่เห็นแต่ก็รู้ได้จากกิริยาอาการที่สดชื่นแจ่มใส ร่าเริง ใบหน้าที่อิ่มเอม เบิกบานอยู่เป็นนิจ
ความน่ารักของกัลยาณมิตร มีความละเอียดอ่อนลึกซึ้งแฝงอยู่มากมาย เป็นความน่ารักที่ไม่มีความเสื่อมสลายไปตามวัยตามสังขาร สมควรที่สาธุชนทั้งหลายจะฝึกฝนตัวให้ได้คุณสมบัติเช่นนี้ไว้ เพื่อประโยชน์แก่ตนเอง แก่ผู้อื่น และเป็นแบบอย่างแก่อนุชนรุ่นหลังสืบไป
2. น่าเคารพ
เป็นบุคคลที่อุดมด้วยปัญญาทั้งทางโลก และทางธรรมอย่างพร้อมมูล จนกระทั่งตระหนักและซาบซึ้งได้ดีว่า อะไรถูกอะไรผิด อะไรดีอะไรชั่ว อะไรควรอะไรไม่ควร อะไรเป็นบุญอะไรเป็นบาป แล้วดำเนินชีวิตไปในทางที่ถูกต้อง ที่เป็นบุญเป็นกุศลอย่างมั่นคงแน่วแน่
ไม่หวั่นไหวต่อความยั่วยวนของสิ่งแวดล้อมที่ทำให้ใจตกต่ำ เป็นคนรักความยุติธรรมเป็นที่สุด ไม่ว่าต่อหน้าอย่างไร ลับหลังต้องอย่างนั้น มีความเมตตากรุณาอยู่เป็นนิจกับทุกคนที่เกี่ยวข้อง คุณสมบัตินี้จะหลอมให้กัลยาณมิตรเป็นที่น่าเคารพของชนทั้งหลาย
3. น่าเทิดทูน
เป็นบุคคลที่ทรงความรู้ มีภูมิปัญญาเป็นเลิศ ทั้งทางโลกและทางธรรม ความฉลาดปราดเปรื่องมีมากจนเป็นที่ยอมรับของทุกคนในวงการ เป็นผู้ฝึกฝนปรับปรุงตนอยู่เสมอ สามารถอันยอดเยี่ยม ใครๆ ก็อยากจะฝากตัวเป็นศิษย์ มีความอาจหาญร่าเริงที่จะประกาศให้ชาวโลกได้รับรู้ถึงคุณความดีของกัลยาณมิตร
แต่… คุณสมบัติของกัลยาณมิตรข้อนี้ แม้จะไม่ฉลาดปราดเปรื่องมาก แต่อย่างน้อยต้องมีความสามารถแก้ไขความเห็นผิดของศิษย์ได้ มีอุบายวิธีทำให้ศิษย์ตั้งตนอยู่ในสัมมาทิฐิได้ ทำให้ศิษย์เกิดความเลื่อมใสอย่างแท้จริง
4. ฉลาดพูดแนะนำตักเตือน
เป็นบุคคลที่รู้จักพูดชี้แจงให้เข้าใจ มีความสามารถพูดโน้มน้าวให้ทำตาม ในสิ่งที่ดีมีความสามารถในการถ่ายทอดความรู้ กัลยาณมิตรจึงควรศึกษาหลักจิตวิทยา ในการเข้าถึงจิตใจของบุคคลต่างๆ
หาโอกาสฝึกพูด ให้เหตุให้ผล ให้เหมาะสมกับบุคคลและโอกาส เพราะกัลยาณมิตรต้องพบปะกับบุคคลทุกเพศ วัย หลายฐานะ กัลยาณมิตรต้องให้คำแนะนำปรึกษาที่ดีที่ควร อย่าให้ผู้ที่มาพบเราต้องจากไปด้วยความผิดหวัง
5. อดทนต่อถ้อยคำ
เป็นบุคคลที่พร้อมจะรับฟังคำปรึกษาซักถามอยู่เสมอ อดทนฟังได้แม้เรื่องไร้สาระ ไม่เบื่อหน่าย ไม่รำคาญ เราจึงต้องอดทนให้อภัย รักษาอารมณ์ให้เยือกเย็นอยู่เสมอ
6. แถลงเรื่องที่ลึกล้ำได้
เป็นบุคคลที่สามารถนำเรื่องที่ยกมาอธิบายให้เกิดภาพพจน์เข้าใจง่าย แม้เรื่องราวที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับชีวิต เกี่ยวกับหัวข้อธรรมะที่ยากๆ ก็สามารถหาเรื่องอุปมาอุปมัยให้เข้าใจอย่างง่าย
7. ไม่ชักนำไปในสิ่งที่เสื่อม
เป็นบุคคลที่ประพฤติปฏิบัติอยู่ในธรรม ไม่ยอมทำเรื่องที่เป็นการเสื่อมเสีย พูดอย่างไรทำอย่างนั้น ไม่มีเบื้องหน้า ไม่มีเบื้องหลัง ทุกกิจกรรมของกัลยาณมิตรต้องบริสุทธิ์ผุดผ่อง ใสสะอาด พร้อมที่จะประกาศให้ชาวโลกรับรู้ และท้าทายให้มาพิสูจน์ได้เสมอ