รวบรวมบทความของบล็อกคุณปราการ prakal มาไว้รวมกัน เป็นข้อเขียนที่มีประโยชน์มากๆ
ตอน 2
วันนี้เราจะมาต่อในเรื่องของคุณลักษณะของคนแต่ละ Generation กันว่าจะมีจุดเด่น จุดด้อยอะไรกันบ้าง และมีลักษณะที่โดดเด่นอย่างไรบ้าง เพื่อที่จะได้เห็นว่า แต่ละ Gen นั้น มีทัศนคติ ความชอบ ไลฟ์สไตล์ ที่แตกต่างกันอย่างไร ก็ถือว่าเป็นการทบทวนกันอีกสักครั้งสำหรับบางท่านที่พอจะรู้อยู่แล้วนะครับ ส่วนท่านที่ยังใหม่กับเรื่องนี้ก็จะได้ทราบว่า แต่ละ Gen มีลักษณะที่แตกต่างกันอย่างไร เพื่อที่จะได้เข้าใจ และนำเอาไปออกแบบระบบบริหารจัดการกันอีกทีครับ
คุณลักษณะของคนในแต่ละ Generation นั้น มีความแตกต่างกันออกไปค่อนข้างจะมาก เนื่องจากแต่ละ Gen ถูกเลี้ยงดูขึ้นมาจากสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันออกไปโดยสิ้นเชิง ยุคสมัยที่แตกต่างกัน ความเจริญของเทคโนโลยีที่แตกต่างกัน เลยทำให้แต่ละ Gen มองโลกไม่เหมือนกัน ลองมาดูลักษณะของคนแต่ละ Gen กัน
· Baby Boomer คนรุ่นนี้จะเกิดในช่วง ปี ค.ศ. 1946-1964 ซึ่งเป็นช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา ซึ่งในยุคนั้นเป็นยุคข้าวยากหมากแพง คนรุ่นนี้จึงต้อง
o ดิ้นรน ทำงานหนัก เพื่อที่จะสร้างฐานะของตนเองขึ้นมา ธุรกิจและองค์กรใหญ่ยังมีไม่มากนัก เติบโตขึ้นมาท่ามกลางการแข่งขันที่สูงมาก ดังนั้นคนรุ่นนี้จึงเชื่อเรื่องของการทำงานที่ทุ่มเท เชื่อในกระบวนการและขั้นตอนการทำงานที่ชัดเจน และจะต้องทำตามขั้นตอนและกระบวนการที่กำหนด
o เป็นคนทำงานหนัก มาทำงานแต่เช้า กลับบ้านดึก เพราะถือว่านี่เป็นวิธีการแสดงออกถึงความทุ่มเทให้กับองค์กร เชื่อเรื่องของกฎระเบียบข้อบังคับของบริษัทมาก พยายามปฏิบัติตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด เพราะถือเป็นผลงานอย่างหนึ่ง
o ส่วนคนที่ประสบความสำเร็จ ก็ถือว่าเป็นคนที่สร้างตัวเองขึ้นมาจากศูนย์ มองว่าตัวเองเหนื่อยยาก กว่าจะทำงานได้ประสบความสำเร็จ จึงชอบพนักงานที่มีความมุ่งมั่น ทุ่มเท มาทำงานแต่เช้า กลับดึกๆ คล้ายๆ กับที่ตนเองยังหนุ่มอยู่ มักจะมองเห็นตัวเองผ่านพนักงานที่มีพฤติกรรมคล้ายๆ กัน ดังนั้น พนักงานคนไหนที่มีพฤติกรรมเหมือนเขา ก็มักจะถูกมองว่าเป็นพนักงานที่มีผลงานที่ดี คือมองกระบวนการทำงานมากว่า ผลลัพธ์ที่ออกมา พนักงานคนนั้นอาจจะมาขยันมาทำงานแต่เช้า แต่ผลงานอาจจะออกมาไม่ค่อยดีนัก แต่คนกลุ่มนี้เชื่อเรื่องของกระบวนการมากกว่า เชื่อว่ากระบวนการที่ดีจะไปสู่ผลที่ดีตามมา แต่อาจจะช้าหน่อยก็ไม่เป็นไร
· Generation X คนรุ่นนี้เกิดในช่วงปีค.ศ. 1965-1978 เป็นรุ่นลูกของ Baby Boomer ซึ่งถูกเลี้ยงดูมาโดยที่พ่อแม่ทำงานหนักทั้งคู่ หรือไม่ก็คนเป็นพ่อทำงานหนัก แต่แม่เป็นแม่บ้านเลี้ยงดูลูก ก็มักจะเห็นตัวอย่างจากการทำงานหนักของพ่อ และแม่เองก็ชื่นชมพ่อที่ทำงานหนักให้ลูกฟังบ่อยๆ ซึ่งลูกไม่ได้ชอบเลย เพราะเห็นว่า บางครั้งการทำงานหนักของพ่อนั้น องค์กรก็ไม่เห็นจะดูแลอะไร เวลาที่จะเลิกจ้าง ก็เลิกเลย ไม่สนใจว่าทำงานหนักให้องค์กรสักแค่ไหน ผลก็คือ
o คน Gen X จะไม่เชื่อเรื่องของการทำงานหนักในลักษณะของกระบวนการทำงาน แต่จะเชื่อเรื่องของการทำงานแบบ Work-Life Balance คือทำงานหนักได้ แต่เรื่องของชีวิตส่วนตัวก็ต้องมีความสมดุลกันด้วย ดังนั้นจึงเชื่อว่า งานไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิต
o มองเงินว่าเป็นเครื่องมือบ่งบอกความก้าวหน้าของชีวิต แต่ถ้าเงินก้อนนั้นทำให้ชีวิตต้องเสียความสมดุลไป ก็ยอมที่จะทิ้งเงิน เพื่อเลือกชีวิตที่สมดุล และมีความสุขมากกว่า
o คนรุ่นนี้เป็นคนที่ถูกเลี้ยงโดยคุณแม่ส่วนใหญ่ และมักจะเป็นลูกที่มีพี่น้องไม่กี่คน ก็จะทำให้ทักษะเรื่องของคน ไม่ค่อยดีนัก (แต่ก็ไม่เสมอไป) ชอบทำงานคนเดียว บอกแค่ผลที่ต้องการ แล้วเขาจะไปหาวิธีการทำงานมาให้จนได้ โดยไม่ต้องไปลงลึกเรื่องของขั้นตอนและวิธีการทำงานอะไรเลย ดังนั้นคนรุ่นนี้จึงรับไม่ค่อยได้ ถ้าคนรุ่นใหม่ จะต้องมาถามแล้วถามเล่า ถึงวิธีการทำงาน ถามถึงความเห็นว่าแบบไหนดี ควรจะใช้วิธีการใดดีในการทำงาน ฯลฯ คนกลุ่มนี้จะมองว่า ทำไมคิดเองไม่ได้ ตัวเขายังสามารถทำเองคิดเองได้จนกระทั่งงานสำเร็จได้เลย ก็จะมองคนรุ่นหลังว่าเป็นพวกที่วางแผนทำงานไม่เป็น คิดอะไรก็ไม่ออก ต้องคอยถามอยู่ตลอดเวลา
o ส่วนเรื่องเทคโนโลยีนั้น คนรุ่นนี้ก็ยังคือว่าเป็นคนที่ยังทันต่อเทคโนโลนีสมัยใหม่ เพราะเติบโตในช่วงเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีพอดี
· Generation Y คนรุ่นนี้เกิดในช่วงปีค.ศ. 1979-1990 เป็นคนรุ่นใหม่ล่าสุดที่กำลังเข้าสู่ตลาดแรงงานมาอย่างต่อเนื่อง คนรุ่นนี้ ถูกเลี้ยงดูและเติบโตมากับครอบครัวที่พอจะมีฐานะอยู่บ้าง โดยส่วนใหญ่ไม่ได้ลำบากมากนัก พ่อแม่ พยายามที่จะดูแลให้ดี อยากได้อะไรก็จัดให้ รวมทั้งเกิดมาพร้อมกับเทคโนโลยีต่างๆ รอบตัวไปหมด เกิดมาก็เห็นคอมพิวเตอร์แล้ว ได้จับเครื่องมือสื่อสารต่างๆ ตั้งแต่เด็กๆ ก็เลยคุ้นเคยกับเทคโนโลยีต่างๆ เป็นอย่างดี ลักษณะส่วนใหญ่ของคนรุ่นนี้คือ
o มองโลกในแง่บวก สบายๆ ไม่ซีเรียสกับเรื่องอะไรมากนัก เพราะถูกเลี้ยงมาอย่างดี
o มีความเชื่อมั่นในตนเองสูงมาก อยากประสบความสำเร็จในชีวิตอย่างรวดเร็ว พูดง่ายๆ ก็คือ อยากเป็นผู้จัดการ หรือเจ้าของกิจการตั้งแต่อายุ 25-26 ปี เพราะทั้งชีวิตที่โตมา ได้เห็นและรับรู้เรื่องราวของคนที่ประสบความสำเร็จมาเยอะ ก็เลยอยากประสบความสำเร็จบ้าง
o เชื่อว่าเงินมีความสำคัญในการดำรงชีวิต และสามารถซื้อได้ทุกสิ่งทุกอย่าง คนรุ่นนี้เป็นคนที่ซื้ออะไรง่าย และก็เบื่อง่าย เพราะมีอะไรใหม่ๆ มาให้เห็นอยู่ตลอดเวลา ดังนั้น อาจจะเพิ่งซื้อโทรศัพท์รุ่นใหม่มาได้ไม่ถึงปี ก็เปลี่ยนทันทีเมื่อมีรุ่นที่ใหม่กว่าออกมา
o ชอบอะไรที่ยืดหยุ่น ใช้ชีวิตโดยเน้นเป้าหมายและความสำเร็จเป็นหลัก โดยไม่ยึดถือกับกระบวนการและวิธีการทำงานมากนัก ไม่ค่อยเชื่อกฎเกณฑ์ในการทำงาน รวมทั้งกฎระเบียบต่างๆ เพราะมองว่า สิ่งเหล่านั้นไม่มีความยืดหยุ่นเลย เขาอาจจะใช้วิธีการอย่างอื่น เพื่อที่จะทำงานได้ตามเป้าหมายที่กำหนดได้ ดังนั้น พฤติกรรมก็จะออกมาในลักษณะที่ไม่ค่อยอยากมาทำงานตรงเวลา ทุกที่เป็นที่ที่ทำงานได้หมด ไม่จำเป็นต้องเข้ามานั่งทำงานในออฟฟิศก็ได้ ซึ่งจุดนี้เองก็จะขัดกับแนวคิดของคนรุ่นเดิมๆ ซึ่งเชื่อในเรื่องของกระบวนการทำงานมากกว่าผลสำเร็จ
o เป็นคนที่ต้องบอกรายละเอียดในการทำงานที่ชัดเจน เพราะถูกเลี้ยงมาโดยพ่อแม่ที่บอกสูตรลับความสำเร็จให้ทุกอย่าง จนแทบจะไม่ต้องไปลองผิดลองถูกอะไรเลย ดังนั้น ถ้ามอบหมายงานแบบบอกเป้าหมาย แล้วให้เขาไปหาวิธีการเอาเองนั้น เขาจะไม่ชอบ และจะพยายามมาสอบถามเสมอว่า สิ่งที่ทำอยู่นั้นมันใช่หรือไม่ ถูกต้องหรือไม่ เพื่อให้เกิดความแน่ใจ ซึ่งหัวหน้า Gen X ก็จะติดรำคาญหน่อยๆ เพราะมาถามอยู่ได้ ทำไมไม่หาทางเอง หรือคิดเองบ้าง
o คนรุ่นนี้ จะรู้สึกปกติกับการให้ Feedback บอกได้เลยว่าผลงานที่ออกมานั้น ดีหรือไม่ดีอย่างไร เขาพร้อมที่จะรับฟังเสมอ เพราะถูกเลี้ยงดูมากับการบอกเล่า และการได้ Feedback มาโดยตลอด จึงไม่ค่อยกลัวในเรื่องเหล่านี้ ซึ่งตรงนี้จะไม่เหมือนกับคนกลุ่ม Baby boomer ซึ่งไม่ชอบการ Feedback เลย เพราะเหมือนกำลังถูกลงโทษ
เมื่อเห็นลักษณะเด่นของแต่ละ Gen แล้ว ก็คงจะพอเข้าใจแล้วนะครับว่าทำไมถึงเกิดความขัดแย้งในการทำงานได้ โดยที่บางครั้งแทบหาสาเหตุของความขัดแย้งนั้นไม่เจอเลย ซึ่งจริงๆ แล้วก็มาจากมุมมอง ทัศนคติ และความเชื่อที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละ Gen ซึ่งก็มาจากการเลี้ยงดู และสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันในคนแต่ละรุ่น
เมื่อเข้าใจธรรมชาติเหล่านี้แล้ว ก็จะง่ายขึ้นในการที่จะสร้างระบบต่างๆ ที่จะทำให้ทั้ง 3 Gen สามารถที่จะอยู่ทำงานร่วมกันอย่างมีความสุขได้ไม่ยากนัก ซึ่งพรุ่งนี้ผมจะมาต่อในเรื่องของระบบการบริหารทรัพยากรบุคคลที่องค์กรจะต้องสร้างให้เกิดขึ้น เพื่อที่จะบริหารคนหลายๆ Generation ในองค์กรของเรา
ทั้งนี้ก็เพื่อให้เขาสามารถที่จะทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น และนำพาองค์กรไปสู่เป้าหมายที่เราต้องการได้นั่นเอง
ตอน 3
วันนี้ก็เป็นตอนที่ 3 ของเรื่องราวเกี่ยวกับการบริหารจัดการคนแต่ละ Generation ให้สามารถทำงานร่วมกันอย่างราบรื่น เพื่อที่จะสร้างผลงานที่ดีให้กับองค์กร สองตอนที่ผ่านมาได้เล่าให้อ่านเกี่ยวกับคุณสมบัติของคนในแต่ละ Gen ว่ามีอะไรที่โดดเด่นบ้าง และมีความคิด ทัศนคติ การมองโลกต่างกันอย่างไรบ้าง ไปแล้ว วันนี้จะมาต่อในเรื่องของแนวทางในการบริหารจัดการคนแต่ละ Gen ก่อน เพื่อที่จะได้ภาพรวมของการบริหารคน แล้ววันถัดไปค่อยมาต่อเรื่องของระบบการบริหารภายในองค์กรเองว่าจะต้องทำอย่างไรบ้าง เพื่อให้แต่ละ Gen อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข
ส่วนใหญ่เรื่องของการบริหารจัดการคนนั้น เรามักจะมองอยู่ใน 2 ประเด็นหลักๆ ก็คือ ดึงดูด (Attract) และ รักษาไว้ (Retain) ลองมาดูว่า เราจะ Attract และ Retain พนักงานในแต่ละ Gen ได้อย่างไรบ้าง
ว่าด้วยเรื่องของการดึงดูดพนักงาน (Attraction)
Baby Boomer จากคุณลักษณะของ Gen นี้ ที่เขียนไว้ตอนที่ 2 การที่เราจะดึงดูดคนกลุ่มนี้เข้าทำงานในองค์กรได้นั้น จากผลการวิจัยที่ได้สอบถามกลุ่ม Baby Boomer จำนวนกว่าพันคน สามารถสรุปได้ดังนี้
เงินเดือน พนักงานกลุ่มนี้ ยังคงต้องการเงินเดือน หลายท่านอาจจะสงสัยว่าที่เคยทราบว่า คน Gen นี้ไม่เน้นเรื่องเงินไม่ใช่หรือ จริงๆ แล้วทุก Gen ล้วนต้องการเงินเดือน เพื่อใช้จ่ายอยู่แล้วครับ เพราะนี่เป็นการตอบสนองความต้องการพื้นฐานของคนเราอยู่แล้ว ยิ่ง Gen นี้ เขามองว่า ถ้าองค์กรต้องการประสบการณ์การทำงานอันยาวนานของเขา ก็ต้องมีเรื่องของค่าตอบแทนที่สมน้ำสมเนื้อกันด้วยเช่นกัน ยิ่งคนรุ่นนี้ จะเอาเรื่องของเงินมาเป็นตัววัดความสำเร็จอยู่บ้างเหมือนกัน
สวัสดิการที่เน้นเรื่องของWork-Life Balance กลุ่ม Baby Boomer หลายคน มีอายุมากแล้ว และไม่สามารถที่จะขับรถได้ เพราะด้วยสายตา และการตอบสนองที่ช้าลง ดังนั้นการเดินทางมาทำงานก็อาจจะมีปัญหาได้ ถ้าคนกลุ่มนี้เข้ามาในระดับบริหาร บริษัทก็อาจจะมีการจัดรถประจำตำแหน่ง และมีคนขับรถให้ได้ แต่ถ้าไม่สามารถให้สิ่งเหล่านี้ได้ สิ่งที่คนกลุ่มนี้ต้องการก็คือ ความยืดหยุ่นในการทำงาน เช่น ทำงานที่บ้านได้ โดยเชื่อมต่อระบบเข้ามายังบริษัท และสามารถที่จะทำงานจากบ้านมาได้เลย โดยไม่ต้องเดินทางมายังบริษัท ก็จะทำให้คนกลุ่มนี้สะดวกที่จะทำงาน และอยากทำงานให้กับองค์กรมากขึ้น เพราะสามารถที่จะอยู่บ้าน เลี้ยงหลานไปด้วย และทำงานให้กับองค์กรได้ด้วย
สถานภาพ และตำแหน่ง ปัจจัยที่ 3 ที่จะดึงดูดคนกลุ่มนี้เข้าทำงานกับองค์กรก็คือ เรื่องของสถานภาพ และตำแหน่งงานที่องค์กรมอบให้ เนื่องจากเป็นบุคคลที่มีประสบการณ์มามาก ทั้งวัยวุฒิ และคุณวุฒิ ก็อาจจะมีความคาดหวังว่าองค์กรจะมองและยกย่องเขา ให้ความสำคัญกับเขา เพราะเป็นคนที่มีองค์ความรู้และมีประสบการณ์มามาก ดังนั้น สิ่งที่องค์กรจะต้องจัดให้มีก็คือ เรื่องของ Recognition การวางสถานภาพของเขาให้อยู่เป็นคนที่มีความสำคัญ และมีความเชี่ยวชาญ จริงๆ จากการสัมภาษณ์ คน Gen นี้ไม่ต้องการตำแหน่งอะไรในองค์กรที่สูงๆ แต่ต้องการการให้ความสำคัญมากกว่า
Generation X จากคุณลักษณะของ Gen นี้ ที่เขียนไว้ตอนที่ 2 การที่เราจะดึงดูดคนกลุ่มนี้เข้าทำงานในองค์กรได้นั้น จากผลการวิจัยที่ได้สอบถามกลุ่ม Generation X จำนวนกว่าพันคน สามารถสรุปได้ดังนี้
บรรยากาศในการทำงาน Gen X นี้มองเรื่องของบรรยากาศในการทำงานเป็นเรื่องสำคัญก่อนเรื่องอื่นๆ และบรรยากาศที่เขาต้องการก็คือ การทำงานที่มีบรรยากาศแบบครอบครัว มีความอบอุ่น มีความเป็นกันเอง ไม่ชอบเรื่องของการเมือง และการแก่งแย่งชิงดีกันมากนัก ดังนั้นถ้าองค์กรของเรามีชื่อเรื่องของการทำงานที่เป็นกันเอง อบอุ่น เหมือนครอบครัวเดียวกัน ก็จะยิ่งสามารถดึงดูด Gen X เข้ามาทำงานได้มากขึ้น
Work-Life Balance ปัจจัยที่สองที่จะดึงดูด Gen X ได้ดี ก็คือ เรื่องของการสร้างความสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว ถ้าองค์กรมีระบบการให้สวัสดิการที่มองถึงเรื่องนี้ ก็จะยิ่งทำให้คน Gen นี้อยากเข้ามาทำงานด้วยมากขึ้น เพราะคน Gen X โดยธรรมชาติจะมุ่งเน้นในเรื่องนี้อยู่แล้ว เขาสามารถที่จะลาออกจากงาน ไม่รับเงินเดือนสูงๆ แค่เพียงเพราะงานที่ทำมันทำให้เขารู้สึกว่าเขาสูญเสียเวลาในการทำอย่างอื่นไป ซึ่งเขามองว่ามันไม่คุ้มเลย
ค่าจ้างเงินเดือน คน Gen X จะไม่ได้เน้นเรื่องของตัวเงินเดือนมูลฐานว่าจะต้องได้มากๆ แต่จะมองในภาพค่าจ้างรวมทั้งหมดว่า Total Package แล้วเขาได้รับอะไรบ้าง และได้รวมแล้วเท่าไหร่ เพราะเขาต้องการมองในเรื่องของการสร้างความสมดุลในชีวิตและการทำงานมากกว่าที่จะมองเรื่องของเงินเดือนเพียวๆ ดังนั้น ถ้าองค์กรจะดึงดูดคนกลุ่มนี้ได้ดี ก็อาจจะต้องชี้แจงเรื่องค่าจ้างในมุมของทั้ง Package ว่ามีอะไรบ้าง สัดส่วนเท่าไหร่อย่างไร เงื่อนไขที่จะได้เป็นอย่างไร มากกว่าที่จะไปเน้นเรื่องของเงินเดือนมูลฐานที่สูงๆ แล้วไม่มีอย่างอื่นประกอบ
Generation Y จากคุณลักษณะของ Gen นี้ ที่เขียนไว้ตอนที่ 2 การที่เราจะดึงดูดคนกลุ่มนี้เข้าทำงานในองค์กรได้นั้น จากผลการวิจัยที่ได้สอบถามกลุ่ม Generation Y จำนวนกว่าพันคน สามารถสรุปได้ดังนี้
เงินเดือนสูงๆ ปัจจัยแรกที่ Gen Y ต้องการในการตัดสินใจเข้าทำงานกับองค์กร ก็คือ เรื่องของเงินเดือนที่สูงกว่าองค์กรอื่นที่เสนอมา โดยที่ไม่มององค์กรประกอบอื่นๆของค่าจ้างเลย เขาต้องการเงินเดือนมูลฐานที่สูง ส่วนเรื่องของโบนัส ค่าตำแหน่ง ค่าวิชาชีพ ไม่ต้องพูดถึง เพราะเขาไม่ได้มองค่าจ้างเป็น Package เหมือน Gen X ดังนั้น ถ้าองค์กรอยากได้เด็กรุ่นใหม่ ใน Gen Y เข้ามาทำงาน ก็คงต้องมีการออกแบบระบบอัตราแรกจ้างใหม่ ให้สูงกว่าตลาด เพื่อเป็นการดึงดูดคนเข้ามาทำงานได้มากขึ้น
บรรยากาศในการทำงานแบบสบายๆ ปัจจัยที่สองที่จะดึงดูด Gen Y ได้ดี ก็คือ บรรยากาศในการทำงานที่สบายๆ ไม่ต้องมีพิธีรีตองมากมาย ชุดฟอร์มไม่ต้องได้มั้ย เพราะมันแก่ หรือจะมาทำงานก็ต้องมาตอกบัตร สแกนนิ้ว มีการกำหนดเวลาทำงานอย่างชัดเจน ไม่ยืดหยุ่นเลย หรือการให้เขามีอิสระในการที่จะออกแบบ หรือตกแต่งโต๊ะทำงานของเขาเองได้ รวมทั้งมีการจัดบริเวณที่ทำงานให้มีกิจกรรม เกมส์ สันทนาการเล็กๆ บริษัท เพื่อให้เขารู้สึกผ่อนคลาย มาทำงานเหมือนกับมาเที่ยวเล่นได้
โอกาสในการเติบโตในองค์กรปัจจัยที่จะดึงดูด Gen Y เข้าทำงานอีกเรื่องที่เขาต้องการก็คือ โอกาสที่จะได้เรียนรู้งาน พัฒนางาน และเติบโตก้าวหน้าในองค์กร ถ้าองค์กรมีการกำหนดและวางระบบ Career Development โดยสร้างระบบการพัฒนาคนอย่างจริงๆ จังๆ และมีเส้นทางความก้าวหน้าชัดเจนมากๆ Gen Y จะชอบมาก เพราะมองเห็นว่า เขาจะต้องทำอย่างไร แค่ไหน ที่จะทำให้ตัวเองก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว เพราะ Gen Y นี้ ต้องการที่จะประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วมากๆ
จากข้อมูลข้างต้นก็น่าจะพอทำให้ผู้บริหาร และ HR ทั้งหลายพอที่จะมองเห็นแนวทางในการวางระบบการสรรหาคัดเลือก และสร้างระบบงานเพื่อที่ดึงดูดเอาคนกลุ่มที่เราต้องการเข้ามาทำงานในองค์กรได้ง่ายขึ้น
ผมเชื่อเลยว่า หลายองค์กรเกิดปัญหาที่ว่า เราอยากได้ Gen Y แต่เรายังบริหารแบบ Baby Boomer หรือเราอยากได้ผู้บริหาร Gen X เข้ามามากขึ้น แต่องค์กรเราไปเน้นเรื่องของ Gen Y Baby Boomer มากเกินไป เราก็ไม่สามารถที่จะได้กลุ่มคนเป้าหมายที่เราต้องการได้แน่นอน
ดังนั้นระบบดึงดูดคน ที่พูดมาทั้งหมดนี้ ก็จะต้องไปเชื่อมกับสิ่งที่ปัจจุบันเราเรียกมันว่า Employer Branding นั่นเองครับ เพื่อทำให้เราได้คนอย่างที่เราต้องการ
ตอน 4
วันนี้จะเป็นเรื่องของแนวทางในการรักษาไว้ ซึ่งพนักงานในแต่ละ Gen ว่า เขาต้องการอะไร และองค์กรจะต้องตอบสนอง หรือวางระบบในการรักษาไว้ซึ่งพนักงานแต่ละ Gen ได้อย่างไร
ผมมองว่า เรื่องของการรักษาไว้ ซึ่งพนักงานที่มีความรู้ความสามารถ ให้ทำงานกับองค์กรนั้น เป็นสิ่งที่สำคัญมากในการบริหารธุรกิจปัจจุบัน เนื่องจากคนเก่ง มีน้อย อีกทั้งยังมักจะถูกซื้อตัวกันเป็นว่าเล่น ถ้าองค์กรไม่สามารถที่จะรักษาคนเหล่านี้ไว้ทำงานกับองค์กร เราก็จะเสียคนเก่งๆ ไปอยู่ตลอดเวลา ซึ่งการเสียคนเก่งนั้นนอกจากทำให้ธุรกิจขาดช่วงแล้ว ยังถือว่าเป็นการเพิ่มต้นทุกในการบริหารคนมากขึ้นไปอีก เพราะต้องลงทุนในการสรรหาใหม่ คัดเลือกใหม่อีก เข้ามาแล้วก็ต้องลงทุนในการพัฒนาเขาอีก รวมๆ แล้ว ต้นทุนในการหา และพัฒนาคนนั้น สูงกว่าการที่เรายอมลงทุนรักษาคนเก่งไว้ในองค์กร เราลองมาดูกันว่า ในแต่ละ Gen จะมีวิธีการรักษาพนักงานได้อย่างไรบ้าง
Baby Boomer เมื่อคน Gen นี้เข้ามาทำงาน หรืออยู่ทำงานในองค์กรมาสักพัก สิ่งที่จะรักษาไว้ซึ่งคน Gen นี้ จะประกอบไปด้วย
Flexible Benefits ซึ่งสามารถที่จะให้พนักงานเลือกได้ โดยคนกลุ่มนี้จะเน้นไปในเรื่องของ Health care มากกว่าคนกลุ่มอื่น เนื่องจากอายุที่มากขึ้น และต้องการความมั่นคงหลังเกษียณอายุนั่นเอง
สภาพการทำงานที่ยืดหยุ่นมากขึ้น เช่น ยอมลงทุนทำระบบให้คนกลุ่มนี้สามารถที่จะนั่งทำงานที่บ้านได้บ้าง โดยไม่ต้องเดินทางมาทำงานที่บริษัท เพราะด้วยอายุที่มากขึ้นทำให้การขับรถ หรือการเดินทางไกลๆ อาจจะไม่สะดวก ก็สามารถยืดหยุ่นให้คนกลุ่มนี้สามารถทำงานที่บ้านโดยผ่านเทคโนโลยีสมัยใหม่ได้
ให้ความยอมรับนับถือในประสบการณ์ คนกลุ่มนี้มักจะชอบให้องค์กรยอมรับนับถือเขาในฐานะผู้ที่มีประสบการณ์ในการทำงานมานาน ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากกว่าคนอื่น ดังนั้น ถ้าเรามอบหมายงานในลักษณะที่ให้เขาได้ใช้ความรู้ ทักษะ และประสบการณ์ที่มีมาเสริมสร้างคนรุ่นใหม่ให้เก่งขึ้น เขาก็จะชอบ เช่น ให้เป็น Coach หรือ ให้เป็นผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งเป็นคน certify พนักงานใหม่ ในการทำงานบางอย่าง เขาจะรู้สึกว่าองค์กรกำลังให้การยอมรับ และนับถือเขาในฐานะผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนั้นๆ
ยังชอบงานที่ต้องใช้ความคิดและท้าทาย คนส่วนใหญ่มักจะมองว่า คนกลุ่มนี้อายุเยอะแล้ว อะไรๆ ก็คงไม่สะดวกไปหมด แต่จริงๆ แล้วสมองของคนกลุ่มนี้ยังคงใช้ได้อยู่ ด้วยคน Gen นี้เองก็บอกไว้ชัดเจนว่า ต้องการงานที่อาศัยความคิดความอ่าน และมีความท้าทายมากขึ้นเรื่อยๆ ที่ทำมาประจำ หรือนานๆ มาแล้ว ก็เบื่อ อยากได้งานที่ท้าทายมากกว่าเดิม คนกลุ่มนี้จะรู้สึกถึงคุณค่าของตนเองให้องค์กรมอบหมายงานโครงการบางอย่างที่ท้าทายความสามารถของตน เพราะเขาจะรู้สึกว่าองค์กรไม่ได้ทอดทิ้งให้เขาเป็นคนแก่ ที่ทำงานไปวันๆ แต่องค์กรกำลังให้ความสำคัญกับความรู้และประสบการณ์ของเขาที่มีอยู่ มาสร้างผลงานที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนให้กับองค์กรได้
Generation X เมื่อคน Gen นี้เข้ามาทำงาน หรืออยู่ทำงานในองค์กรมาสักพัก สิ่งที่จะรักษาไว้ซึ่งคน Gen นี้ จะประกอบไปด้วย
สไตล์การบริหารงาน คน Gen นี้ชอบที่จะทำงานเอง โดยไม่ต้องมาสั่งมาก หรือตามมาก และไม่ต้องมาควบคุมอย่างใกล้ชิดมากเกินไป ดังนั้นสั่งงานแล้ว ก็ปล่อยให้เขาทำ คอยดูเป็นระยะๆ คน Gen นี้ต้องการ Feedback เช่นกันว่า สิ่งที่ทำไปนั้นมันดี หรือไม่ดีตรงไหน จะได้ปรับปรุงให้ดีขึ้นได้
บรรยากาศการทำงานแบบครอบครัว คน Gen นี้เป็นคนที่รักครอบครัว ดังนั้นในการทำงานที่จะทำให้เขารู้สึกอยากทำงาน และไม่อยากลาออกไปไหนเลย ก็คือ การสร้างบรรยากาศในการทำงานแบบครอบครัว มีความเป็นพี่เป็นน้องกัน มีความสนุกสนานในการทำงานในองค์กร
Work-Life Balanceองค์กรที่สามารถสร้างระบบ work-life balance ให้เกิดขึ้นได้นั้น จะสามารถรักษาคน gen ได้ดีมาก ระบบการทำงานให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น ไม่เข้มงวดจนเกินไป หรือไม่หย่อนจนเกินไป ทำให้เขาสามารถที่จะทำงาน และสามารถที่จะให้เวลากับชีวิตส่วนตัวไปพร้อมๆ กันได้ ก็จะทำให้คน Gen นี้ไปลาออกไปไหนอย่างแน่นอน
มีระบบการพัฒนาความก้าวหน้าทางสายอาชีพ การรักษาไว้ซึ่งคนกลุ่มนี้ องค์กรจะต้องสร้างระบบ Career Path และระบบการพัฒนาคนอย่างต่อเนื่อง และมีความชัดเจนมากพอ คือทำงานแล้วรู้สึกว่าสามารถเติบโตไปได้เรื่อยๆ คนกลุ่มนี้อาจจะไม่ได้มองเรื่องการเติบโตเป็นลักษณะของตำแหน่งงาน แต่เขาจะมองการเติบโตก็คือ การที่เขาสามารถรับผิดชอบงานที่ใหญ่ขึ้นได้ ยากขึ้นได้ ซึ่งอาจจะไม่ได้มีชื่อตำแหน่งอะไรเลย แต่ถ้างานยากขึ้น ท้าทายขึ้น และได้พัฒนาตนเองมากขึ้น คนกลุ่มนี้ก็จะรู้สึกว่าตนเองเติบโตในองค์กร
Generation Y เมื่อคน Gen นี้เข้ามาทำงาน หรืออยู่ทำงานในองค์กรมาสักพัก สิ่งที่จะรักษาไว้ซึ่งคน Gen นี้ จะประกอบไปด้วย
การให้การยอมรับนับถือในความเห็น คนรุ่นนี้อายุยังไม่มาก แต่ชอบที่จะทำงาน และคิดอะไรใหม่ๆ และไม่ต้องการให้คนอื่นมองว่าเขานั้นยังเด็ก เพราะถือว่าเป็นการดูถูกเขาอย่างมาก คนกลุ่มนี้จะชอบองค์กรที่ให้ความสำคัญกับงานที่เขาทำ ความคิดที่เขาคิด และมองว่าเขาเป็นกำลังสำคัญในการสร้างความสำเร็จให้กับองค์กร ถ้าองค์กรหรือหัวหน้างานไปบริหารคนกลุ่มนี้ โดยมองว่าเขาเป็นเด็ก ไม่โต และไม่น่าจะทำงานใหญ่ได้ เขาก็จะไปทำงานที่อื่นที่ยอมรับเขานั่นเอง
ความก้าวหน้าทางสายอาชีพที่ชัดเจน การที่องค์กรมีการกำหนดเส้นทางความก้าวหน้าทางสายอาชีพ และมีบอกถึงกฎเกณฑ์ และแนวทางที่จะก้าวหน้าไปตามสายอาชีพไว้อย่างชัดเจน จะทำให้ Gen Y รู้สึกว่าทำงานแล้วมีคุณค่า ดังนั้นจะไม่ไปทำงานที่อื่น ในทางตรงกันข้ามถ้าองค์กรไม่มีเรื่องเหล่านี้เลย เขาก็จะสงสัยว่าแล้วตัวเองจะโตไปไหน จะมีโอกาสเติบโตจริงๆ หรือเปล่า สุดท้ายก็ไปอยู่กับองค์กรที่มีระบบเหล่านี้ที่ชัดเจน
มีการใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมคนรุ่นนี้เติบโตมากับเทคโนโลยีต่างๆ มากมาย ก็เลยต้องการให้องค์กรมีเทคโนโลยีที่ทันสมัย มีเครื่องไม้เครื่องมือที่เรียกว่าเป็นรุ่นล่าสุดอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นถ้าองค์กรของเรามีเรื่องของเทคโนโลยีอันทันสมัย ก็จะยิ่งทำให้คนกลุ่มนี้อยากอยู่ทำงานกับองค์กรมากขึ้น
ต้องการ Feedback คนกลุ่มนี้เวลาทำงานด้วยจะต้องการให้คนที่เป็นหัวหน้าคอยบอกว่าผลงานที่ออกมานั้นเป็นอย่างไรบ้าง และต้องการสิ่งเหล่านี้มากกว่า Gen X เพราะเขาต้องการให้นายให้ความสำคัญกับเขามาก มองเขาเป็นคนสำคัญคนหนึ่งองค์กร เวลาที่ทำงานสำเร็จก็อาจจะมีรางวัลเล็กๆ มอบให้ เช่น บัตรกำนัล คูปองกาแฟฟรี ฯลฯ เพื่อเป็นการบอกเขาว่า เรากำลังให้ความสำคัญกับเขาอยู่
สิ่งที่กล่าวไปทั้งหมด ก็คือ แนวทางหลักๆ ที่จะสร้าง Retention ให้เกิดขึ้นในกลุ่มพนักงานในแต่ละ Gen และเนื่องจากความต้องการของแต่ละ Gen มีความแตกต่างกันบ้าง บางอย่างก็คล้ายๆ กันบ้าง คราวนี้ก็คงจะต้องมาพิจารณาดูแล้วว่า ระบบการบริหารคน และบริหารงานขององค์กรจะต้องเป็นอย่างไร ระบบ HR จะต้องเน้นไปทางไหน ด้านใดบ้าง เพื่อที่จะทำให้คนทุก Gen ที่มีความต้องการที่ไม่เหมือนกัน สามารถที่จะทำงานร่วมกันได้ และรู้สึกอยากอยู่ทำงานกับองค์กรนี้ไปตลอด
ตอน 5
จาก 4 ตอนที่ผ่าน ผมเชื่อว่าท่านผู้อ่านน่าจะพอเห็นและเข้าใจในคุณลักษณะของคนในแต่ละ Gen ไปบ้างไม่มากก็น้อย และเมื่อเราเข้าใจลักษณะที่แตกต่างกันในแต่ละ Gen แล้ว สิ่งที่ผู้บริหาร และ ฝ่ายทรัพยากรบุคคลจะต้องดำเนินการต่อ ก็คือ การวางระบบการบริหารงาน และบริหารคน เพื่อที่จะทำให้คนทั้ง 3 Gen สามารถทำงานร่วมกัน และ สร้างผลงานให้กับองค์กรได้ตามเป้าหมายที่กำหนด
สิ่งที่สำคัญมากๆ ในการวางระบบการบริหารทรัพยากรบุคคลในองค์กรที่ต้องมีทั้ง 3 Gen ทำงานร่วมกันอยู่นั้น จะออกแบบการบริหารแบบสมัยก่อนไม่ได้อีกต่อไป ในอดีตระบบงานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นระบบการสรรหาคัดเลือก การพัฒนาคน การบริหารค่าตอบแทน และสวัสดิการ ฯลฯ องค์กรมักจะออกแบบเป็นระบบเดียว และใช้งานกับพนักงานทุกคน แต่ในยุคนี้เราไม่สามารถทำแบบนั้นได้อีกต่อไปสำหรับองค์กรที่มีหลาย Gen สิ่งที่ต้องยึดถือไว้ให้มั่นในการออกแบบระบบการบริหารทรัพยากรบุคคลก็คือ
ออกแบบโดยให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้นกล่าวคือ จะมีระบบเดียวก็คงจะไม่ได้อีกต่อไป การบริหารงานอาจจะต้องมีการเปิดกว้างมากขึ้น ออกแบบให้มีหลายระบบ ให้สอดคล้องกับความต้องการของคนในแต่ละ Gen เช่น ระบบการสรรหาคัดเลือก เราก็ไม่สามารถที่จะใช้วิธีเดียวได้อีกต่อไป ระบบการพัฒนา ก็ต้องดูให้สอดคล้องกับแต่ละ Gen ระบบการบริหารค่าตอบแทนและสวัสดิการต่างๆ ก็ต้องมีความยืดหยุ่นมากพอที่จะตอบสนองความต้องการของคนในแต่ละ Gen ได้อย่างดี
One size fits all ใช้ไม่ได้อีกต่อไป องค์กรที่มีพนักงานหลายหลายรุ่น แล้วทำระบบเดียวเพื่อใช้กับทุกคนในองค์กรนั้น เป็นไปไม่ได้อีกต่อไป ดังนั้นการที่เราจะวางระบบอะไรซักอย่างในองค์กร สิ่งแรกที่จะต้องพิจารณาก็คือ ระบบนั้นๆ มีความยืดหยุ่น และสามารถปรับปรุงเปลี่ยนแปลงได้มากสักแค่ไหน
นอกจากนั้น สิ่งที่เราจะต้องพิจารณาต่อก็คือ ทุก Gen จะมีบางอย่างที่เขามีความต้องการคล้ายๆ กัน ถ้าลองกลับไปอ่านบทความเก่าๆ ดู จะเห็นว่ามีสิ่งที่ทุก Gen ต้องการเหมือนกัน ก็คือ
ความก้าวหน้าในการทำงาน ทุก Gen ที่เข้ามาทำงานในองค์กร ล้วนต้องการความก้าวหน้าในการทำงาน ไม่มี Gen ไหนที่บอกว่า ไม่อยากก้าวหน้า
ได้มีโอกาสเรียนรู้ และพัฒนาทักษะใหม่ๆ อยู่เสมอ ซึ่งประเด็นนี้ก็คือ สิ่งที่จะไปส่งเสริมให้พนักงานเกิดความก้าวหน้าในการทำงานตามข้อแรกได้
ได้รับการยอมรับจากหัวหน้าของตนเอง ทุก Gen ล้วนต้องการ Recognition ที่ดีจากหัวหน้าของเราเอง ต้องการการชื่นชม การพูดคุย และบอกกล่าวในเรื่องของผลงานจากหัวหน้าของตนอยู่เสมอ
สภาพแวดล้อมในการทำงานที่ดี ทุก Gen ต้องการทำงานในสภาพแวดล้อมที่ดี ทำงานแล้วมีความสุข สนุกกับงาน กับเพื่อนร่วมงาน หัวหน้า
ค่าตอบแทนและสวัสดิการ ทุก Gen ต้องการเรื่องนี้เหมือนกัน ไม่มี Gen ไหนที่บอกว่าจะมาทำงานโดยไม่รับเงินเดือน หรือไม่ต้องการสวัสดิการที่ดี
เมื่อทราบดังนี้แล้ว การออกแบบระบบบริหารทรัพยากรบุคคลที่จะทำให้ ทุก Gen รู้สึกอยากทำงานกับองค์กรอย่างต่อเนื่อง ก็จะออกมาให้เราเห็นอย่างชัดเจน ระบบงานต่างๆ ที่องค์กรจะต้องสร้างให้เกิดขึ้นเพื่อให้การบริหารคนแต่ละ Gen ในองค์กรเป็นไปได้ด้วยดี สามารถดึงดูดและรักษาพนักงานไว้ได้ ก็มีดังต่อไปนี้ครับ
ระบบการพัฒนาคน การออกแบบระบบการพัฒนา Training Roadmap ต่างๆ ที่สอดคล้องกับตำแหน่งงาน และความก้าวหน้าของตำแหน่งงาน
ระบบความก้าวหน้าในสายอาชีพ เป็นระบบที่สามารถบอกพนักงานได้ว่า เข้ามาทำงานที่นี่แล้วจะสามารถเติบโตไปทางไหนได้บ้าง สายอาชีพ สายบริหาร สายเทคนิค ฯลฯ และมีการกำหนดแนวทางในการเติบโตอย่างชัดเจน ว่าจะต้องทำผลงานอะไร อย่างไร ใช้เวลาสักเท่าไหร่ เพื่อให้พนักงานมองเห็นอนาคตของตนเองในบริษัท
สร้างสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ยืดหยุ่นมากขึ้น เช่น เรื่องของการแต่งกาย เรื่องเวลาการมาทำงาน การให้พนักงานสามารถตกแต่งโต๊ะทำงานของตนเองได้อย่างอิสระ มีห้องนั่งเล่น มีเกมส์และกิจกรรมต่างๆ ให้ทำเวลาที่ทำงานมาเหนื่อยๆ ฯลฯ เพื่อการสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่เป็นกันเอง และมีความสนุกสนานอยู่ในตัว
ระบบค่าตอบแทนและสวัสดิการ ระบบนี้จะต้องออกแบบให้มีความยืดหยุ่นด้วยเช่นกัน อาจจะมีองค์ประกอบของโครงสร้างค่าจ้างที่แตกต่างกันออกไป ออกแบบองค์กรประกอบของค่าจ้างหลัก ค่าจ้างเสริม ค่าจ้างจูงใจให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น รวมทั้งระบบสวัสดิการที่ให้พนักงานสามารถเลือกได้ เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพชีวิตของพนักงานเอง
นอกจากระบบข้างต้นแล้ว สิ่งสำคัญมากกว่าเรื่องของระบบทั้งหมดที่กล่าวมา ก็คือ
การทำให้ผู้บริหาร ผู้จัดการ และหัวหน้างานทุกระดับ ที่ต้องดูแลลูกน้อง มีภาวะผู้นำที่ดี มีความเข้าใจในความแตกต่างกันของแต่ละ Gen และสามารถปรับตัว ปรับวิธีการทำงานให้มีความยืดหยุ่นได้มากขึ้น เช่น หัวหน้าอาจจะต้องเริ่มฝึกที่จะให้คำชมพนักงานบ้าง ให้ Feedback กับพนักงาน สอนงาน และบอกกล่าวผลงานแก่พนักงานแต่ละคนได้อย่างไม่ติดขัด นอกจากนั้นยังต้องเป็นคนที่สามารถสร้างความเป็นกันเอง สร้างบรรยากาศที่ดีในการทำงาน ปรับตัวปรับลักษณะของตนเองให้เข้ากับคนอื่นได้อยู่เสมอ ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่ยากอีกเรื่องหนึ่งที่จะต้องพัฒนาพนักงานระดับหัวหน้างานให้เกิดสิ่งเหล่านี้ขึ้น
ในการที่จะทำให้คนแต่ละ Gen ทำงานร่วมกันได้อย่างมีความสุข และรักษาพนักงานให้ทำงานกับองค์กรไว้นานๆ นั้น เราต้องอาศัยความเข้าใจซึ่งกันและกัน องค์กรเองก็ไม่ควรจะให้ความสำคัญกับ Gen ใด Gen หนึ่งมากจนเกินไป จนลืม Gen บาง Gen ไป เพราะนี่ก็คือการสร้างความขัดแย้งให้เกิดขึ้นได้ในระยะยาว บางองค์กรให้ Gen อื่นๆ เรียนรู้ความต้องการของ Gen Y แต่ไม่เคยคิดที่จะให้ Gen Y เรียนรู้และเข้าใจ Gen อื่นๆ เลย
เพราะเท่าที่ผมเห็นในปัจจุบันองค์กรมักจะให้ความสำคัญกับ Gen Y จนมากเกินไป จนทำให้ลืม Gen อื่นๆ ซึ่งก็ยังคงเป็นคนที่สร้างผลงานให้กับองค์กรอยู่เช่นกัน