ตุ๊กติ๊ก หมาดอยผู้อาภัพ 2023.07.30

ย้อนหลังไปช่วงปลายปี 2562 ประจำการอยู่คนเดียวที่ระแหงแขวงเมืองตาก ตั้งกะเดือนกันยายน เพื่อทำงานโครงการที่นั่น ระยะเวลาประมาณ 18 เดือน มีบ้านช่องห้องหอจัดหาไว้พร้อมประจำการ

ช่วงเดือนธันวาคมต้นๆ ได้ไปเที่ยวหาพี่ทัศน์ พี่วาสน์ ที่ดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่เพื่อสัมผัสอากาศหนาวของยอดดอย ตามที่เคยไปเยี่ยมเยียนหากันมาบ้างแล้ว ไปครั้งนี้ ไปเจอหมาบีเกิลหน้าตาแปลก ๆ ปากแหลม ๆ ดีนเล็ก ไม่เป็นตุ้มแบบบุญเติม ชื่อเจ้าโซเฟีย วิถีของโซเฟียคือ ถูกล่ามไว้กับเสากลางลานบ้าน จนมันพันคอไปติดเสา ดิ้นไม่หลุด และก็จะคงอยู่อย่างนั้น อาหารก็จะเป็นข้าวเหนียวแห้ง ๆ วาง ๆ ไว้ตามนั้น ถามเจ้าของ ก็บอกว่า ปล่อยไม่ได้ จะไปไล่ไก่เขาในหมู่บ้าน เขาจะเอาตายเสีย ถามว่าแล้วเอามาจากไหน ก็แจ้งว่า เป็นของคนรู้จักกันที่พื้นราบ เขาอยากเลี้ยงหมาแบบนี้ (หูใหญ่ สามสี) เลยไปซื้อมาจากตลาดนัด ตัวเมีย ให้ชื่อว่าโซเฟีย อายุตอนที่ซื้อมาก็คงได้สักสองสามเดือนแล้ว โซเฟียน่าจะเกิดต้น ๆ ปี 62 นั่นคือการเปลี่ยนแปลงครั้งที่ 1 ของโซเฟียแยกจากแม่มาเป็นหมาขายตลาดนัด ทีนี้พอได้เลี้ยงเข้าแล้ว รับความซนของหมาพันธุ์นี้ไม่ไหว ก็ต้องหาที่ปล่อยออก จนมาเจอพี่วาสน์รับมาบนดอย นั่นคือและการเปลี่ยนแปลงครั้งที่สองของโซเฟีย และต่อมาก็มีเรื่องไล่ไก่ตามมาอีก จนต้องมาล่ามไว้แบบนั้น

เวลาแกะโซ่ออกมาเล่นด้วยนั้น โซเฟีย ก็มีนิสัยปรกติ ให้อุ้ม ให้กอด นั่งเล่นอยู่ใกล้ ๆ ไม่มีแววว่าจะวิ่งห่างไปไหน ไม่เหมือนพวกเติมและตูม ที่จะพากันออกผจญภัยไปไกล ๆ ต้องตามหา อยู่ที่นั่นสองสามวัน ก็รู้สึกว่าถูกชะตากัน รู้สึกว่าโซเฟียเป็นหมารู้ความ มีแววตาที่น่าสงสาร โดยเฉพาะเวลาที่มองค้อน หรือ มองช้อนหน้าขึ้นมา ตาสวยและให้ความรู้สึกผูกพันกัน จะเล่นด้วยก็เล่น จะเอาไปล่ามไว้ที่เสา หรือ กรง ก็ไม่มีทีท่าว่าจะร้องตาม หรือโวยวาย ก่อนจะกลับลองถามพี่วาสน์ พี่ทัศน์ว่า ถ้าไม่มีคนเลี้ยงดูมัน ผมจะขอเอามันไปอยู่ด้วยที่ตากเป็นเพื่อนกันจะได้ไหม แกลังเลนิดนึง เพราะแฟนของลูกชาย (อยู่ในเมือง) เขาก็รักของเขา เวลาเขามาบนดอย เขาจะเล่นกับมัน แต่เวลาเขาลงไปแล้ว เขาก็ไม่ได้รับรู้ว่ามันจะต้องอยู่อย่างไรแบบไหน ในที่สุด น้องก็ยินยอมยกโซเฟียให้ลงจากดอย มาอยู่ด้วยกันที่ตาก วันที่รับกลับมานั้น น้องขึ้นดอยมาส่งเจ้าโซเฟียด้วย การเปลี่ยนแปลงครั้งที่สามของโซเฟียกำลังเริ่มขึ้น

ปล.แม้ต่อมา จะพาโซเฟียกลับมาที่ดอยสะเก็ดใหม่ เราปล่อยโซเฟียไว้ ช่วงที่เราไปเที่ยวกันในเขื่อนแม่งัด แม่กวง หากเป็นหมาอื่น คงจะหายไปแล้ว เรากลับมาถึงบ้าน ติ๊ก(โซเฟีย) ยังคงรออยู่ที่เดิม ไม่ได้ไปไหน และ ไม่ไปกัดไก่ของใครด้วย อันนี้ติ๊กทำได้จริง ๆ

โซเฟีย หมาดอย ผู้ต้องอยู่กับสายโซ่ ตลอดเวลา

รับโซเฟียเดินทางลงดอยมา เมารถอ้วกแตกกลางทาง หน้าตาไม่สบายเลย กว่าจะมาถึงตากได้ เราเปลี่ยนชื่อจากโซเฟียเป็นตุ๊กติ๊ก ซึ่งเป็นชื่อของหมาของเล่นตุ๊กตาตัวหนึ่งที่อาโกสุมให้มาเล่นกับบุญเติม(เติมเต็ม)ตอนเด็ก ๆ เติมเล่นกับตุ๊กติ๊กแบบทนทานมากจนโตมาก็ยังไม่พัง จัดการดูแล จัดหาอาหาร ที่นอน(ตะกร้า) ให้ตุ๊กติ๊ก โดยระหว่างวันทำงาน เอาตะกร้าผ้า ออกมาวางหน้าบ้านริมประตู ติ๊กนอนเล่นได้ทั้งวัน พอเย็นกลับมา ก็เอาตะกร้าเข้าบ้าน เอาไว้ในห้องนอน ติ๊กก็จะลงไปนอนในตะกร้านั้นทุกวัน ไม่มีขาด ไม่เคยมีสักวันที่ติ๊กจะได้ขึ้นมาบนเตียงนอน ติ๊กเคยพยายามขึ้นมา แต่พอโดนดุ และ ขู่ด้วยไม้แขวนเสื้อ ติ๊กก็จะหยุดลง (ไมเคยตี)

ติ๊กไม่งอแง ไม่กวน หน้าตาบ้องแบ๊ว อยู่เฉย ๆ ได้ ไม่ซุกซนจนถึงกับรับไม่ได้ การขุดประตู หรือ เขี่ย ๆ เป็นเรื่องปรกติ ที่หมาพันธุ์นี้ทำกันได้เหมือนกันหมด (แม้ในตอนหลัง เราต้องโดนป้าเจ้าของบ้านเช่าขอค่าเสียหายประตูไปสองสามพัน ก็ต้องยอมแต่โดยดี)

พฤติกรรมที่ติ๊กเป็นคือ เป็นหมามีวินัย ไม่รู้ว่ามันได้มาอย่างไร แต่ไม่ต้องฝึก ติ๊กตื่นนอนทุกวันประมาณตีสี่ครึ่ง ไม่ขาดไม่เกิน แรก ๆ ตื่นแล้วทำขยุกขยิกในตะกร้า มองมาทางเรา พอเราลืมตาไปจะมองเห็นแววตาของติ๊กที่เบิกตาเต็มที่แล้ว ไม่มีความงัวเงียให้เห็น เราจะต้องลุกออกมาเปิดประตูให้ติ๊กออกไปนอนบ้านในความมืด (อยู่ในรั้ว) ติ๊กจะวิ่งหายไปในความมืดนั้น มาสังเกตทีหลัง ติ๊กออกสำรวจบ้าน หากบ เขียด หรือ อื่น ๆ ในสุมทุ่มต้นไม้ รอบ ๆ บ้านนั่นเอง เราเองกลับมานอนต่อครึ่งชั่วโมง ตีห้าตรง ติ๊กจะมานั่งรอหน้าบ้าน หันหน้าเข้าบ้าน หรือ ไม่ก็ไปนั่งหน้ารั้ว มองออกไปข้างนอก ตอนแรกไม่รู้พฤติกรรมนี้ แต่เนื่องจากเราตื่นเช้าเมื่ออยู่ตาก (รับอากาศเย็น) แอบสังเกตเห็นสิ่งที่ติ๊กมันทำของมันทุกวัน พอเห็นแบบนั้น ก็เลยเริ่มมีธรรมเนียมการพาติ๊กออกไปเดินนอกบ้าน วงรอบแคบ ๆ ติ๊กจะเดินวงเดิมเสมอ ออกบ้านได้ก็ดึงโซ่ไปทางปากซอย ไปได้ครึ่งทาง ก็หักเลี้ยวข้ามถนนเดินลงทางท้ายซอย ระหว่างทาง ติ๊กจะดม สำรวจ เต็มที่คือ ย่อขาหลังลงฉี่สั้น ๆ แล้วเดินต่อ สิ่งที่ติ๊กชอบมากในระหว่างทาง คือ การงับยอดหญ้าอ่อน ๆกิน จะหยุดกินสักสามสี่จุด เดินลงทางท้ายซอย ผ่านบ้านเราไปสัก 50 เมตร เป้นที่ว่างเปล่า ติ๊กจะหยุดตรงนั้น เลี้ยวข้ามถนนกลับมาฝั่งเดิม แล้วเดินย้อนขึ้นบ้านเรา ระหว่างทางจะมีหมาจร เพื่อน ๆ ของติ๊ก หน้าบาก มะขาม นมยาน ไอ้ขาว ดำเสือ และ อื่น ๆ ผลัดหมุนเวียนมาเดินตาม ๆ ไปกับติ๊กแบบนั้น ที่สำคัญคือ ติ๊กไม่เคยอึในระหว่างการเดินเลย ใครจะบอกว่า ไอ้คนนี้ พาหมามาขี้นอกบ้าน เราก็จะบอกเขาไปว่า หมาผมไม่เคยขี้เลยครับ มันแค่ฉี่สั้น ๆ เท่านั้น มันเดินกินหญ้าของมันครับ เขาคงไม่เชื่อหรอก แต่ติ๊กไม่เคยทำจริง ๆ

กลับถึงบ้าน สักตีห้าครึ่งนิด ๆ ติ๊กก็จะแยกไป ไม่มายุ่งด้วย ติ๊กจะอยู่นอกบ้าน จนเราอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ เปิดประตู ติ๊กจะเข้ามา กระโดดนั่งบนโซฟาเล็ก ๆ นั่งเล่นกัน จะเป็นแบบนี้ตลอด ติ๊กเข้ามาเพื่อมานั่งโซฟาเขียว เล่นกัน แกล้งกัน ถ่ายรูปกัน พอเราลุกหยิบกระเป๋า บอกว่า “ไป ออกไปติ๊ก” ติ๊กรู้เวลาก็จะวิ่งออกหน้าบ้านไป เราก็เอาตะกร้าออกไปวางไว้ให้นอกประตู เทอาหารไว้ให้

อีกกิจกรรมที่จะมีหลังๆ ที่ติ๊กโตขึ้นมาหน่อย คือ การโยนลูกบอลโง่ ๆ ให้ติ๊กวิ่งไปคาบ จะโยนไปทางข้างบ้านไกล ๆ มันก็จะวิ่งโกยสี่ขาสั้น ๆ ไปอย่างไว ไปงับ แล้ววิ่งเอากลับมาให้แย่งจากปากพอเป็นพิธี พอแย่งได้ ก็โยนใหม่ ทำแบบนี้ สักสิบรอบ ไม่รู้ติ๊กชอบอะไรนักหนา แต่เป็นกิจกรรมที่ทำทุกวันก่อนออกไปทำงาน หลัง ๆ ติ๊กอายุห้าขวบแล้วยังคึก ๆ มีเล่นแบบนี้ด้วย ยังไม่ลืม ในบางครั้งเล่นจนอยากเลิก พอโยนไปไกล ๆ แล้วเรารีบออกนอกรั้วไปยืนข้างนอก ติ๊กที่วิ่งหน้าตื่นหูปลิวกลับมาหาเราเพื่อแย่งบอลกัน พอมันเห็นเราอยู่นอกรั้วแล้วมันหยุดนิ่งแล้วคายบอลออกจากปากร่วงตรงนั้น เป็นความหมายว่า หมดเวลาเล่นแล้ว แล้วติ๊กก็หันหลังเดินกลับเข้าบ้านไป นึกถึงแล้วน่าสงสารมาก

ติ๊กจะทำอะไรระหว่างวันนั้น เราไม่รู้เลย แต่คิดว่า ติ๊กน่าจะนอนในตะกร้านั้นอยู่เรื่อย ๆ เวลากลับมาตอนเที่ยง บางครั้งก็เห็นสายตาโผล่มาจากตะกร้า หรือ เวลากลับมาเย็น ๆ เวลารถผ่าน ติ๊กนั่งอ้าขา(ธรรมดาของหมาขาสั้น งอขาไม่ได้) หน้ารั้ว มองคนโน้น คนนี้ แบบไม่รู้คิดอะไรอยู่ แต่ไม่มีโหยหวนครวญครางใด ๆ พอรถจอดข้างบ้าน เดินมา ติ๊กก็จะกระดิกหางนิดหน่อย เปิดประตูมาก็กระโจนหากันเบา ๆ สักทีสองที แล้วก็ตามกันเข้าบ้านไป อยู่กันในบ้านช่วงนึง หากไม่มีอะไร ติ๊กก็ออกมาอยู่นอกบ้าน เราก็นั่งกินเบียร์ในบ้านทำโน่นทำนี่ไป ตามปรกติ จนสามทุ่ม ก็จะมาเรียกเข้าบ้าน พร้อมเอาตะกร้าเข้าห้องนอนวน ๆ ไป

ติ๊กขับถ่ายเป็นที่ได้อย่างไม่น่าเชื่อ และ ไม่ได้ฝึกด้วย ด้วยความเป็นหมาตัวเมีย หากเห็นผ้าเช็ดเท้าวางไว้ ติ๊กจะนั่งย่อแล้วฉี่ในบ้าน ซึ่งทำแบบนี้ สองสามครั้ง เราจะเอ็ดเอาทุกครั้ง แต่ก็ยังทำ ทางแก้คือ เอาผ้าเช็ดเท้าออกทั้งบ้าน ไม่มี ติ๊กก็จะไม่ฉี่อีกเลย ใช้การฉี่นอกบ้าน เราไม่เคยต้องเช็ดฉี่ติ๊กในบ้านอีกเลยตั้งแต่นั้น หลังบ้านจะมีลานปูนซีเมนต์ (ลานซักล้าง) ติ๊กจะมาฉี่ และ อึที่บริเวณนี้เท่านั้น เราจะรู้เลย ว่าวัน ๆ นึง ติ๊กอึกี่ครั้ง เพราะ เราเก็บมันทุกเช้าก่อนอาบน้ำไปทำงาน โดยเก็บทิชชู ใส่ถุงไปทิ้งขยะ และเอาน้ำฉีดล้างลานนั้น ขัดบ้างบางครั้ง ให้สะอาด ติ๊กจะมาเล่นน้ำในตอนฉีดด้วย ต้องไล่ให้ไปห่าง ๆ ไม่เคยต้องเก็บอึติ๊กนอกพื้นที่นี้เลย ตลอดเวลาปีกว่า ๆ ที่ติ๊กอยู่ที่ตาก นี่คือวินัยที่ดีที่สุดของติ๊ก

ติ๊กเป็นหมาที่ไม่ขอกิน จะมีบ้าง หากเห็นเราหิ้วไก่ทอดเข้ามากินกับเบียร์ แต่การขอของติ๊ก คือ มานั่งมอง มองอย่างนั้น นอนหมอบแล้วมองบน ไม่มีการสะกิด ครวญคราง หรือ กระโดดกระโจน จะให้ตอนไหน ก็ให้มา ไม่ให้ก็อยู่เฉย ๆ บางทีบอกว่า ไปก่อน ๆ ไล่ให้ออกนอกบ้านไป ติ๊กก็ออกแต่โดยดี ไม่อิดออด หลัง ๆ เคยซื้อลูกชิ้นหมูถุงละ39 บาท มาแช่ตู้ไว้ เวลาอยากให้ติ๊กตอนเย็น จะให้ติ๊กนั่งลงก่อน แล้ว บิให้เป็นสี่ชิ้น ให้ทีละชิ้นเล็ก ๆ ติ๊กก็มีความสุขมากแล้ว หรือ อาหารแท่งของหมา (ขนม) คนอื่นได้กินทีละสองแท่ง เราให้ติ๊ก คือ บิชิ้นเล็ก ๆ 1 แท่งได้กินสิบที นั่นก็มีความสุขแล้วสำหรับติ๊ก เวลาเอาอาหารไปกองให้หมาจรหน้าบ้าน ติ๊กก็จะมีฟิล ไปเอาตีนเขี่ย ๆ มากินบ้าง ทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็มีอยู่แล้ว พอได้บรรยากาศการมีส่วมร่วมของติ๊ก

สิ่งที่ติ๊กหวงในบ้าน คือ หากไปได้ซากกบ เขียดมาจากหลังบ้าน ข้างรั้ว ติ๊กจะเอาไปแอบไว้ในพุ่มไม้ และ จะคอยมองเราไว้ หากเข้าไปใกล้ ๆ ติ๊กจะมาแฮ่ใส่เบา ๆ แล้วเข้าไปยืนคร่อมไว้ ติ๊กหวงไว้จนมันได้กลิ่นตุ ๆ ที่ติ๊กต้องการคลุกตัวลงไปบนซากนั้น (คงหอมสำหรับหมา) ซึ่งจะเป็นเวลาเดียวกับที่เราต้องเก็บซากนั้นไปทิ้ง เพราะ กลิ่นโชยแล้ว เป็นความเสียดายที่สุดของติ๊ก จะมองตาละห้อย แต่ติ๊กไม่ท้อ ติ๊กหาได้ตลอด หนู กบ เขียด และ อื่น ๆ ติ๊กมีสัญชาตญานนักล่า เฝ้ารอ และ จับได้อย่างง่ายดาย เป็นมาตลอดชีวิตของติ๊ก ไม่เปลี่ยนแปลงเรื่องนี้

ติ๊กเป็นหมาว่าง่าย เราที่ไม่ค่อยได้อาบน้ำหมาเลย สามารถอาบน้ำให้ติ๊กได้ โดยไม่ต้องใช้โซ่ล่าม พาติ๊กมายืน ราดน้ำลงไปด้วยสายยาง อาจจะขัดขืนเล็กน้อยช่วงแรก แต่พอน้ำโดนตัวทั้งตัวแล้ว ติ๊กจะอยู่นิ่ง ๆ จนการลงแชมพู และ ล้างน้ำสะอาดแล้วเสร็จ ก็จะไปได้ ้เราไม่เคยคาดคิดเลยว่าด้วยความเป็นหมาผู้ว่าง่ายในเรื่องนี้ จะเป็นการนำพาติ๊กไปสู่วันสุดท้ายของติ๊กเอง

แรกๆ ของการเดินทางด้วยกัน ติ๊กมีกล่องของหมาตกทอดมาจากบุญเติม ขนาดใหญ่กว่าตัว พอให้พลิกตัวได้สบาย วิธีการคือ เอากล่องไว้หลังรถในกระบะ แล้วอุ้มติ๊กขึ้นทางหลังรถ เปิดกรง ติ๊กเดินเข้าไปเอง ไม่ต้องอุ้ม ดัน บังคับใด ๆ ทั้งสิ้น ติ๊กจะอยู่ในกล่องนั้น จากตากมาถึงกรุงเทพ เราลืมนึกไปเลยว่า ติ๊กจะร้อนบ้างไหม คิดไปเองเอาว่า เวลารถวิ่ง มันมีลมผ่าน แสงแดดคงไม่ทำให้ติ๊กร้อน น่าสงสารมาก ติ๊กบอกอะไรไม่ได้เลย พักกลางทาง พาลงมาหาน้ำกิน ติ๊กก็กินอย่างว่าง่าย เรื่องพาฉี่ติ๊กก็ให้ความร่วมมืออยู่บ้าง มีอยู่ครั้งหนึ่ง รถที่ใช้งานเสีย ต้องส่งซ่อมทันที ที่ศูนย์สิงห์บุรี (ห่างกทม.ประมาณ 120 กม.) กรงติ๊ก 1 กรง ตะกร้าผ้า 1 ใบ รอรถมารับจากรถเคลมที่ต้องหาออกมาจากกรุงเทพ หมาไม่อนุญาตให้เข้าโชว์รูมรถ เพื่อนั่งรอ เรากับติ๊กอยู่ด้วยกันนอกศูนย์ ตั้งกะบ่ายสามยันสองทุ่มที่รถตีออกมารับ แล้วนั่งรถกลับเข้ามากทม.ด้วยกันอย่างทรหด ติ๊กไม่มีโวยวายสักแอะ อยู่ได้นิ่ง ๆ ตลอด

เมื่อติ๊กรู้ความขึ้นมากแล้ว ประสบการณ์ความที่คุ้นเคยกับการเอาบุญเติมขึ้นนรถ ที่จะต้องวุ่นวายมาทางคนขับ ไม่อยู่นิ่ง ขนกระจุยทั้งรถ การพาติ๊กนั่งรถคือ เรื่องใหญ่ ที่ต้องเตรียมการ เพราะ เรามีการเดินทางกลับกทม. เดือนละครั้ง จะให้ใครมาเลี้ยงแทน ก็คงไม่ได้ เตรียมผ้าปูเบาะ เอาติ๊กไว้ที่นั่งหลังคนขับ ปรากฎว่า ติ๊กนั่งสงบ ไม่ทุรนทุราย มองไปกี่ทีทางกระจกหลัง ก็เห็นนั่งแลบลิ้นสีชมพูอยู่ ครั้งต่อมา ก็เอามานั่งเบาะหน้า ใส่สายโยงคล้องไว้ไม่ให้ข้ามมาทางคนขับ ติ๊กก็เหมือนเดิม ไม่ขยับไปไหน นั่ง และ นอนคุดคู้อยู่อย่างนั้น (เดินทางกลับประมาณ 6-7 ชม. แล้วแต่รถที่จะติดแถวนวนครลงมา) ระหว่างทาง แวะปั๊มกัน หรือ ร้านอาหาร ติ๊กก็ลงด้วย ขึ้นด้วย ปรกติ ที่น่าหงุดหงิดกันคือ เวลาจะให้ฉี่ ติ๊กไม่ฉี่ จะต้องเดินไปรอบ ๆ สำรวจพื้นที่ จนเจอที่พอใจจึงยอง ๆ ฉี่ อาจจะมากบ้างน้อยบ้าง เร่งรัดไม่ได้ แต่ไม่เคยอึเลยเช่นกัน มีอยู่ครั้งหนึ่ง รถติดมาก และติ๊กฉี่สุดท้ายที่นครสวรรค์แล้ว รถมาถึงรังสิตแล้วติ๊กเริ่มกระสับกระส่าย มองกระจกนอกรถเหมือนอยากรู้ว่าถึงไหนแล้ว อีกนานไหม จนจะถึงบ้านแล้ว อีกไม่เกิน 2 กม. ติ๊กฉี่ในรถแบบเต็มที่อั้นไม่ไหวแล้วต้องฉี่ เราโมโหมากตวาดติ๊กไปแบบเสียงดังจนติ๊กกระโดดไปด้านหลังเบาะ คอห้อยอยู่เพราะสายโยงที่ยึดไว้กับสายเข็มขัดด้านหน้า นั่นเป็นครั้งเดียวที่ติ๊กทำแบบนั้น และ เรารู้สึกผิดมาก ที่ไปตวาดติ๊กด้วยเสียงอันดังแบบนั้น ซึ่งติ๊กน่าจะกลัวมาก ทั้ง ๆ ที่เราควรหาที่ให้ติ๊กฉี่อีกสักครั้ง ในสถานะรถที่ติดแบบบ้าเลือดนั่น

การพูดคุยกับติ๊ก ตั้งแต่อยู่กันมา คือ กู และ มึง อีติ๊ก เท่านี้ ไม่มีพ่อ ลูก ใด ๆ อะไรของมึง อีติ๊ก ? มึงจะให้กูพาไปเดินเหรอ ? หิวไหมมึง ? มึงรอพรุ่งนี้นะติ๊ก …. ฯลฯ ติ๊กไม่รู้หรอกว่ามันเป็นคำหยาบ คำสุภาพอะไร ติ๊กฟังจากน้ำเสียง ติ๊กพอจะเข้าใจ เพิ่มความดังของเสียง หรือ ท่าทาง ติ๊กจะรู้ว่าหงุดหงิด และ ไปห่าง ๆ ไปห่างที่สุด หากมีไม้เขวนเสื้อในมือ ติ๊กจะเงียบ มองตาหวาด ๆ (ไม่เคยตีนะ) หากถือขู่ไปนาน ๆ ติ๊กจะเห่าสู้ เห่าแบบเสียงเหมือนสะบัดสะบิ้ง คือ อย่านะ สู้นะ แต่สายตานั้น มันไม่ใช่เลยติ๊ก บางทีขู่ไล่ ๆ ไป ติ๊กจะมีอาการอย่างนึง คือ หางหดแล้วโกยสี่ขาวิ่งเร็ว ๆ ไปรอบ ๆ พื้นที่ อาจจะเป็นบ้าน เป็นห้อง หรือ ลานนอกบ้าน จะวิ่งอย่างเร็ว ไม่หยุดเป็นวง ๆ อันนี้ ประหลาดดีไม่รู้ทำไม

การมีติ๊กเป็นเพื่อนที่ตาก เรามีเรื่องต้องคุยกันทุกวัน นั่งกินเบียร์ พูดกับติ๊กที่นอนหมอบอยู่ข้าง ๆ หรือ มองมาตรงหน้าแบบช้อนสายตาขึ้นมา เล่าเรื่องราวให้ติ๊กฟัง ติ๊กมองระหว่างเล่า ข้าถือว่าเอ็งรับรู้ที่ข้าเล่านะ เอ็งอาจจะไม่ต้องให้กำลังใจหรือให้คำตอบอะไร แต่การที่เอ็งรับฟังมันนั้น มันทำให้ข้ารำลึกถึงความเป็นเพื่อนแท้ของเอ็งเสมอมา ไอ้เพื่อนติ๊ก แม้ระยะหลัง ๆ เราไม่ค่อยเอาเรื่องมาเล่าให้ติ๊กฟังแล้ว แต่ติ๊กยังมีพฤติกรรมเดิมไม่เปลี่ยน มานอนข้าง ๆ เท้า เอาหัวมาทาบหลังเท้า (อันนี้ บุญเติมก็เป็น) หรือ อยู่ดี ๆ ก็เดินมาล้มนอนทับขาทับรองเท้าไว้อย่างนั้นเอง

อยู่กันมา ติ๊กหาหมอแค่สองครั้ง ครั้งแรกคือ การไปทำหมัน เมื่อลงดอยมาใหม่ ๆ แผลยังไม่ทันหายดี ก็พากลับไปที่ตาก ปรากฎว่าแผลปริ ดีว่าไส้ไม่หลุดออกมา พาไปหาหมอในตาก เขาก็ทำอะไรไม่ได้เอาปลาสเตอร์แปะมาให้ ให้คอยดูว่าอย่าให้ปริ อย่าให้เลีย ก็ทำได้แค่นั้น ดวงติ๊กจะไม่เป็นไร ติ๊กก็รอดมาได้ อีกครั้งคือ ติ๊กมีก้อนเนื้องอกมาทางตาขวาเป็นติ่ง ๆ พาไปหาหมอ หมอบอกว่าต้องตัดชิ้นเนื้อตรวจ พบเซลล์มะเร็ง ทางรักษาคือ ต้องคว้านตาออกหนึ่งข้าง เราบอกเขาก็น่าจะมีสิทธิในชีวิตของเขา ขอให้เขาอยู่ในสถาพเดิมเถอะ ถ้ามันจะเป็นจริง ๆก็ค่อยว่ากันตอนนั้น ติ๊กหมามะเร็งจึงรอดการเป็นหมาตาเดียวมาได้ และ คงมีสายตาสวยเว้าวอนด้วยขนตาดำเล็ก ๆ รอบดวงตากลมแป๋วของติ๊กอยู่

การเปลี่ยนแปลงที่สี่ของติ๊ก อยู่ที่สิ้นปี 2563 ตัดสินใจเอาติ๊กลงมากทม. เป็นหมากรุงเทพ เพราะทางตาก ก็ต้องคืนบ้านเช่าเพราะ ใกล้จบงาน และ ไป ๆ มา ๆ กทม. ติ๊กต้องเดินทางบ่อยไป ก็เอามาไว้ที่บ้านกับพี่น้อง บุญเติม ตูมตาม มีโชค และ ตัวเล็ก ติ๊กปรับตัวไม่นาน เป็นหมาอาศัยนอกบ้านพักนึง จนสุดท้ายก็เป็นตัวแสบของบ้าน ติ๊กโดนเขี้ยวของมีโชคจนได้ ติ๊กขย้ำตัวเล็ก และ บุญเติม ส่วนตูมตามนั้น ก็จะหงุดหงิดใส่ หรือ เป็นเพื่อนวิ่งเล่นแบบกระต่ายกับตุ๊กติ๊กบ้าง ที่นี่ ติ๊กเริ่มเป็นหมาขอกินตามเพื่อน แต่นิสัยที่ยังไม่เปลี่ยนคือ การเป็นนักล่า ติ๊กจับหนูนอกบ้านได้ ตัวโต ๆ ทั้งขุดโพรงต้นไม้ ทุก ๆ วัน ตอนเย็น ทุกตัวจะเข้ามาในบ้าน หนียุง แต่ติ๊กจะอยู่รอบ ๆ บ้าน คอยดม ไปหา กลิ่นแปลก ๆ ในบ้านเพื่อไล่จับ และ ก็จับได้เสียด้วย ติ๊กมาจากบ้านนอก พร้อมเบาะนอนของตัวเองจากตาก ตอนแรก ก็นอนที่ของตัวเอง หลัง ๆ ติ๊กก็ไปซ่าส์นอนที่ของคนอื่น และ ท้ายที่สุด ติ๊กก็จองที่โปรดในบ้านได้ หน้าห้องทีวีนอนหลังชนฝาไว้ หันหน้าออก บางทีก็นอนขาชี้ฟ้าสี่ขา เหยียดยาว สบายเสียที่สุด นั่นคือ ท่าโปรดของติ๊ก

เวลาเรากลับมาจากที่ทำงาน หมาในบ้านจะกรูออกมาหาคน แต่ติ๊กไม่ ติ๊กจะวิ่งเลยไปเลย ไม่สนใจ ติ๊กวิ่งไปหาสิ่งที่จะสูดดมก่อน แล้วสักพักติ๊กจะกลับมา ท่าของติ๊กคือ กระโจนสองขา เอาขาค้ำพุงแล้วยืดตัวขึ้นมา พยายามเลียหน้าเราเบา ๆ ครั้งนึง หรือ สองครั้ง แล้วก็กระโจนออกไป ไม่เร้าหรือ อันนี้ ก็เป็นพฤติกรรมที่แปลกของติ๊ก ติ๊กไม่มาล้อมหน้าหลัง ต่างคนต่างอยู่ มีซอกประจำเป็นที่นอนถอยหลังเข้านอน ตาลืมดูแบบห่าง ๆ หรือ นอนเหยียดหงายท้องสี่ขาชี้ ติ๊กหลับของติ๊กได้ ในวันที่บ้านร้อน ๆ ไม่รู้จะหลบไปทางไหน ติ๊กมีที่ของติ๊กคือ เข้าไปนอนใต้ชักโครกห้องน้ำ ที่มีความเย็น ใครจะเข้าก็เข้าไป ติ๊กไม่สนใจ นอนอย่างนั้นแหละ ที่โปรดอีกที่ของติ๊ก คือ การขึ้นนอนบนเก้าอี้ของเรา ทั้งที่ตาก ที่บ้าน และ ในห้องทีวี ติ๊กจะชอบขึ้นไปนอนเสมอ ๆ นอนแบบสบายใจ หมาตัวอื่นไม่เป็น

หมาดอยยังมีลักษณะที่แปลกออกจากหมาอื่น ๆ ที่เห็น คือ ฝนตก ฟ้าร้อง หรือ ฟ้าผ่า ลมแรงยังไงก็ตาม หากเป็นหมาตัวอื่น ๆ แม้หมาแกร่งอย่างเจ้ามีโชคยังหางหด เดินลนลานหาคน (คงจะคิดว่าคนจะช่วยได้) เจ้าตัวเล็กนั่นหนักมากถึงกับตัวสั่นงก ๆ คงเป็นธรรมชาติของสัตว์ที่หวาดกลัวไปกับสิ่งที่ไม่รู้ หรือ นอกเหนืออำนาจควบคุม แต่ ….. ติ๊กไม่เป็นเลย ถ้าฝนตก นั่นหมายถึงติ๊กจะพรวดสวนประตูบ้านออกไป มุ่งไปหาจับกบ เขียด ตัวเล็ก ๆ อย่างสนุกสนาน แม้ฟ้าจะร้อง หรือ ผ่า เปรี้ยง ๆ ก็หาได้ทำให้หมาดอยตกอกตกใจไม่ ต้องเรียกเข้าบ้านมา ตัวเปียกมะล่อกมะแล่ก ไม่มาหลบ มาแอบ แบบหมาตัวอื่น ๆ บางทีก็นั่งจ้องออกไปกลางในแบบนิ่ง ๆ สายตาสอดส่ายหาการเคลื่อนไหวด้านนอกนิ่ง ๆ พฤติกรรมนี้ เป็นตั้งแต่อยู่ที่ตากแล้ว ฝนตกทีไร จะขุดประตูขอออกไปวิ่งเล่นข้างนอก

ติ๊กจะมีความหวงบางอย่าง หรือ ต้องการครอบครองก็ได้ อาหารที่เทไว้ หากเป็นคิวเช้า หรือ เย็น ติ๊กลงทุนไปนอนเฝ้า นอนใกล้ ๆ หันหัวไปทางนั้น หมาตัวอื่นจะเดินเข้าไป ติ๊กจะส่งเสียงขู่ หรือ ลุกขึ้นยืนคร่อมไว้ เราจะเอาลากชามอาหารไปไหน ติ๊กจะตามไปเฝ้า และ ส่งเสียงคำรามในคอ หมาตัวอื่น ๆ ล้วนเข้าใจ และ ต้องจัดลำดับความสำคัญเอาเอง สุดจริง ๆ ก็จะมีการจมเขี้ยวกัน

ติ๊กยังเป็นหมาขี้เล่น ถอดถุงเท้าโยนให้เล่น ก็คาบโยนเอง วิ่งไล่งับเอง ไปรอบ ๆ บ้าน ให้เงาะ ลำใย ไปลูกนึง ติ๊กก็เอาไปโยนเล่น กลิ้งไล่งับ อย่างสนุกสนานอยู่คนเดียว เล่นแบบนี้ เติมเคยเป็น แต่นานมากแล้วที่เติมไม่ทำแบบนี้ ติ๊กห้าขวบกว่า ๆ ยังเล่นได้ไม่หยุด

พฤติกรรมแสดงออกอีกอย่างของติ๊กคือ การเข้ามาใกล้ ๆ นั่งลง แล้วเอาหัวมุดเข้าหาปลายมือของเรา เป็นอาการแบบให้เกาหัวให้หน่อย ลักษณะแบบนี้เป็นไปได้ว่า คัน หรือ ต้องการความสบายบางอย่าง พอเราเอามือไปขยำ ๆ ตรงหัว บีบหู สักพักเลิกทำ ติ๊กจะเสือกหัวเข้ามาอีก ใคร ต้องการอีก เราก็ต้องทำให้จนติ๊กพอใจ หากหยุดไปกลางทางติ๊กจะทำเหมือนไม่สบายตัว นอกจากนั้นติ๊กชอบให้ลูบหู ลูบตาให้ เอาทิชชูมาเช็ดขี้ตา หรือ ล้วงเช็ดในรูหูที่ปรกติหมาพันธุ์นี้จะมีความชื้นในหูมากอยู้ จะได้ขี้หูแฉะๆ ออกมา แต่ยังน้อยกว่าหูของบุญเติม นับว่าเป็นหมาหูค่อนข้างแห้งอยู่ พอเช็ดหู ตาให้แล้ว ทิชชูไม่ต้องทิ้ง ติ๊กคือ หมากินทิชชู เอามาปั้นกลม ๆ แล้วโยนไป ติ๊กจะวิ่งไปอย่างไว ไปงับแล้วนำไปวิ่งเล่น หรือ นอนฉีกกินจนหมด ไม่มีเหลือเป็นขยะให้ต้องมาเก็บ

ตั้งกะอยู่เมืองตาก เวลาอุ้มติ๊กขึ้นมา จับอุ้มตะแคงตัว และหงายท้องในอ้อมแขน ติ๊กจะทำท่าสบาย แข้งขาเก็บงอ เกาท้องให้ก็นอนนิ่ง หงายหน้าหลับตาสบายใจ เราเรียกกันมา “เล่นหงายท้อง” ตอนหลังติ๊กโตขึ้น พอจับหงายท้องติ๊กจะไม่ค่อยสบายตัวเท่าไหร่บนตัก เพราะ ขนาดของตัวที่เพิ่มขึ้น อยู่หงายแบบนั้นได้ไม่นาน แต่ถ้ามาจับหงายที่พื้นตอนกำลังนอน ติ๊กชอบมาก หงายท้องได้สบาย ๆ เวลาที่จะมีการขัดใจกัน ติ๊กจะส่งเสียงเบา ๆ เหมือนขัดใจ และทำท่าเหมือนจะงับ ทำท่าจะงับจริง ๆ แต่หลายครั้งที่ถูกติ๊กงับมา เวลาลงเขี้ยวจริง ๆ ติ๊กจะยั้งไว้ มันไม่เคยกัดเข้าเลยสักทีเดียว แต่กลับคนอื่นมันเล่นเอาถึงเลือดก็มี แต่เราก็ตั้งใจไว้อยู่แล้ว ไม่ว่าติ๊กจะมาแรงยังไง เราก็ไม่โกรธกัน ไม่ตีกัน

ที่บ้านกทม.นี้ ติ๊กยังมีพฤติกรรมที่อยากออกเดินสำรวจ และกินหญ้า ในหมู่บ้าน ต่างกันที่ ตอนนี้ ติ๊กจะมีการอึหนึ่งครั้งด้วย ในที่เดิมเสมอ คือ เสาไฟ ตรงวงเวียน ซึ่งเราก็จะปล่อยให้ติ๊กจัดเต็มที่ แล้วค่อยย้อนไปเก็บสิ่งนั้นหลังพาติ๊กเข้าบ้านแล้ว สิ่งที่แปลกก็คือ ในวันธรรมดาที่เราต้องทำงาน แต่งตัวลงมาจากชั้นบน ติ๊กมองเฉย ๆ ไม่ว่าจะลงหกโมง หรือ เจ็ดโมงก็ตาม ผงกหัวมาดู แล้วก็นอน หรือ ไม่ก็เฉย ๆ ไป แต่หากเป็นวันหยุด หรือ เสาร์อาทิตย์ ซึ่งจะลงมาแบบชุดนอนประมาณ 7-8 โมง ติ๊กจะมารอตรงบันได ตั้งกะได้ยินเสียงลูกบิด นั่งคอตั้ง พอลงมาก็ส่งเสียงโว้ว โว้ว แหลม ๆ แล้ววิ่งเข้ามากระโจนใส่แล้วก็หุนหันไปทางหน้าบ้านริมรั้ว หันมามอง พร้อมกระโดดเหย็ง ๆ หน้ารั้ว ทำอาการแบบอยากออกไป หากเราทำเฉย ติ๊กจะวนมาทำการกระโจนอีก แล้วทำอย่างนี้สักพัก จนกว่าจะได้ออกไปเดิน เป็นกรณีพิเศษ เคยถามติ๊กว่า มึงรู้ได้งัยว่าวันนี้วันหยุดวะ ติ๊กไม่ตอบ และติ๊กทำอย่างนี้ทุกครั้ง

หยุดสามวันนี้ ติ๊กทำท่านี้ วันที่ 28 เราบอกว่า ไว้ก่อน ๆ ติ๊ก ติ๊กทำท่ากระโดดสองสามทีก็เลิก พอวันที่ 29 ติ๊กทำอีก เราก็บอก พรุ่งนี้ ๆ นะติ๊กไปแน่ ๆ เราสัญญากันไว้อย่างนั้น ช่วงสาย ๆ ของวันที่ 29 กรกฎาคม 2566 ติ๊กก็จากเราไปอย่างไม่ได้ทันร่ำลา เป็นการจากแบบไม่คาดฝัน เราเคยคิดไว้ว่าติ๊กที่อายุมากกว่าสิบปี ในวันที่เราใกล้จะถึงหกสิบ วันที่จะต้องมาอยู่กับเพื่อน เราแอบคิดไว้ว่า วันที่ติ๊กมันแก่มากแล้ว มันจะต้องเจ็บป่วยแบบหมาแก่ เราจะดูแลติ๊กอย่างไร เราจะทนเห็นติ๊กแบบนั้นได้ไหม หรือ เราเองจะเป็นฝ่ายตายไปก่อนติ๊ก ทั้งหมดนี้ ติ๊กไม่รอให้มันเกิดขึ้น ติ๊กจากเราไปก่อนแบบไม่ให้เราต้องเห็นสิ่งที่เราคิดไว้

ติ๊กคือ เพื่อนที่สนิทกันมากที่สุด ติ๊กคงมองเราเป็นเพื่อนเช่นเดียวกันนะ ติ๊กหมดกรรมแล้ว ไม่ต้องลำบากอีกต่อไป ไปใช้ชีวิตที่สนุกสนานของเอ็งในภพภูมิที่ดีต่อไปนะติ๊ก

ไอ้หมาดอย หมาตลาดนัด ไอ้หน้าแหลม อีติ๊กแสนซน

บันทึก 30.07.2566

หลับให้สบายนะติ๊ก เพื่อนรัก

ตรุษจีน ในความทรงจำของข้าพเจ้า… 09.02.2567

วันนี้ ๙ กุมภาพันธ์ วันตรุษจีนของปี ๒๕๖๗
ตรุษจีน ในความทรงจำของข้าพเจ้า…

เมื่อก่อนตอนเด็กๆ เข้าใจว่า “ตรุษ” คือวันปีใหม่ วันที่เขาบอกว่างดทำงาน ต้องเที่ยว ต้องอยู่อย่างมีความสุข โตมาจึงมารู้ว่า ตรุษ คือวันสิ้นปี คือวันเปลี่ยนผ่าน วันสิ้นสุดอย่างหนึ่ง ไปสู่อีกอย่างหนึ่ง
ตรุษจีน จึงหมายถึงวันสิ้นปีเก่าของชาวจีน ก้าวเข้าสู่ปีใหม่ คงจะเช่นเดียวกับคำว่า ตรุษสงกรานต์

ตั้งกะจำความได้ มีเพื่อนบ้านเป็นคนจีน จีนแบบที่เรียกพ่อว่าเตี่ย ลูกชายก็เป็นอาตี๋ อาหมวย มีเพื่อนที่โรงเรียนเป็นลูกจีนแท้ๆ สมัยนั้นเรียกกันตามฉายา ชื่อแปะ (อาแปะ) และ แป๊ะ (อาแป๊ะ) โดยมีพรีฟิกซ์”ไอ้” นำหน้า การเรียกแบบนั้นเราเรียกเป็นชื่อมาจนปัจจุบัน ชื่อจริงของเพื่อนคือฮอลล์ และ ตั้ม ซึ่งก็ไพเราะตามพ่อแม่ตั้งมาให้ดี แต่เราไม่เรียก สมัยนี้เขาบอกว่าการกระทำแบบนั้น คือการ “บูลลี่” เพื่อน ทำให้เพื่อนมีปมด้อย เผลอ ๆ อาจจะเอาอีโต้มารำปาดคอทั้งครูทั้งเพื่อนหมดโรงเรียน แต่เพื่อนทั้งหลายก็ดูมีความเป็นอยู่สุขสมบูรณ์ดีตามอัตภาพ เพียงแต่ไม่มีใครแทนตัวเองว่า “แปะ” เวลาพูดคุย แต่จะใช้สรรพนามเดียวกันหมดคือ “กู” และเวลาพูดกับเพื่อนต่างเพศก็จะใช้คำว่า “เรา” พอไม่ให้ระคายหูเท่านั้น

สมัยประถม พอถึงช่วงตรุษจีน เพื่อน ๆ ที่เป็นกุมารจีนก็จะหายตัวไปสักสองสามวัน พอให้คิดถึง โดยไม่มีอะไรเอิกเกริก โรงเรียนก็ไม่มีพิธีไหว้ พิธีเผากระดาษอะไร กุมารจีนที่ว่านั้น คือกุมารจีนจริง ๆ บางคนใช้นามสกุลว่า “แซ๋” นำหน้า เช่น แซ่แต้ แซ่ตั้ง แซ่ลิ้ม ซึ่งเราก็มารู้เอาตอนโตอีกเหมือนกันว่า คนที่ใช้แซ่นั้น เวลาอ่านออกเสียง เขาจะละคำว่า”แซ่” ไว้ ้เช่น นายอดิศร ตั้ง คือ นายอดิศร นามสกุล แซ่ตั้ง นั่นเอง เวลาเพื่อนหายไป เราก็จะรู้แค่ประมาณ วันนี้วันแรกเขาไหว้ ตอนเย็นเขาเล่นไพ่ (เพื่อนบอกว่าคนมาเล่นไพ่เต็มบ้าน) อีกวันสองวันเขาจะไปเที่ยวกัน แล้วก็กลับมาเรียนตามปรกติ ความอิจฉาเพื่อนคือเพื่อนได้หยุดเรียนเป็นกรณีพิเศษ เพราะเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งมีความเป็นไทย เพื่อนก็ได้หยุด ทำไมเทศกาลของเพื่อน เราไม่ได้หยุดวะ

ละแวกบ้าน ที่มีครอบครัวคนจีน ก็จะมีการไหว้ในตอนเช้า เป็นโต๊ะเล็ก ๆ ออกมากางตั้งโต๊ะกันตั้งแต่เช้ามืด วางเรียงของไหว้ ผลไม้ หมู ไก่ ปลา ฯลฯ ตามที่พึงจะมี (ตอนนั้น ผู้รู้ทางยูทูป ที่จะให้ความรู้อะไรต่าง ๆ ปีละรอบ ยังไม่มี เลยไม่รู้ว่าอะไร แทนอะไร ความหมายยังไง บรรพบุรุษเขาทำกันมายังไง ก็ทำกันต่อไป) พอไหว้เสร็จ สักพัก ก็จะมีการจุดประทัดเสียงดังเป็นตับ ๆ ก่อนจะเห็นเขาเผากระดาษกันในปี๊บก็มี เด็ก ๆ ก็จะสนุกอีตรงเผานี่แหละ สรรหากลวิธีจะให้มันลุกโชนไฟแรง ๆ มันสนุกจนต้องถูกผู้ใหญ่เอ็ดเอา ตอนเด็กนั้น ไม่ค่อยจะเห็นบ้านที่ไหว้ตรุษจีนมากนัก ในย่านที่อาศัยเป็นชานเมืองไม่ใช่พื้นที่ค้าขายที่จะมาคนจีน หรือ เชื้อสายจีน อยู่อาศัยกันมาก ตกเย็น เขาก็จะตั้งโต๊ะตลอดแนวถนนหน้าบ้าน มีการกินเลี้ยงกัน มีตำรวจ ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน หรือ อื่น ๆ ที่เป็นการโชว์พาวว่าผู้จัดเลี้ยงนั้นเป็นผู้กว้างขวาง นับหน้าถือตา ดูแล้วเอิกเกริกดี

อีกเรื่องที่เราต้องอิจฉาเพื่อนเชื้อสายจีนคือ การที่เขาจะได้รับซองเงินแดง ๆ จากญาติ ๆ ในวันตรุษจีนนี้ จะมากจะน้อย เราก็ต้องคอยสอดส่องถามไถ่ให้ได้ซี๊ดปากกันว่า ดีแท้โว้ย การเป็นลูกหลานคนจีนนี่ ได้ซองเป็นตั้ง ๆ เลย (ตอนนั้นไม่ได้คิดว่า พอโตแล้วทำงานได้ เขาก็ต้องให้ลูกให้หลานเขาเหมือนกัน) ตอนเด็ก ๆ เพื่อนเล่าว่าได้หลักร้อย ก็ตาโตแล้ว โตมาบอกได้หลายพัน ก็โอ้โห…… พอเรียนมหาวิทยาลับ เพื่อนบางคนได้รถยนต์เป็นคัน ๆ เลยก็มี (คงไม่ได้ใส่ซองแดงมา แต่เขาใช้โอกาสวันตรุษจีนให้ของพิเศษกัน) เรียกว่าเหล่าเพื่อน ๆอิจฉากันตาค้าง ขอให้มีบุญตูดได้นั่งรถยนต์ป้ายแดงกับเขาหน่อยก็ยังดีวะ

อีกอย่างที่เราจะได้ผลพลอยได้จากครอบครัวคนจีนหลังการไหว้ ก็คือ สารพัดอาหารที่ทำจากของไหว้ แปรรูปต่อ เช่นต้ม ผัด รวนเค็ม ซึ่งแสนจะอร่อย(สำหรับเรา) แค่เหยสะซีอิ๊ว โรยพริกไทย ทำไมมันอร่อยแท้ ครอบครัวคนจีนบอกว่า บางทีกินกันเป็นอาทิตย์กันจนเบื่อไปข้าง นอกจากนั้นก็มีการเผื่อแผ่ให้เพื่อนบ้าน ให้เพื่อน ส้มสูกลูกไม้ต่าง ๆ เผื่อแผ่แบ่งปัน อิ่มอร่อยกันทั่วหน้า ขนมแสนอร่อย ขนมเข่ง ขนมเทียน เหนียวติดไม้ติดมือ กินกันหนุบหนับทั้งห้องเรียน ห้องไหนเพื่อนคนจีนเยอะหน่อยก็เรียกว่า สมบูรณ์พูนสุข ขนมบางชิ้นมีขี้ธูปติดมาก็ปัด ๆ ให้หลุดไป กินต่อได้ ไม่มีปัญหา คนไทยเอามาแปรรูป ขนมเข่งชุบไข่ทอด ได้อาหารอร่อยไปอีกแบบ

ลูกจ้าง คนงาน ซึ่งทำงานกับเถ้าแก่ที่โรงงาน โรงไม้ ้ร้านขายของ วันนี้ คือ วันที่มีความสุข รับซองแดงกัน (ได้ยินว่า แต๊ะเอีย ต่อมาผู้รู้บอกว่า อั่งเปา อะไรก็ได้ รับหมด) ตอนเย็นมีงานเลี้ยง เหล้ายาบริบูรณ์ เถ้าแก่เดินกินเหล้ากับคนงาน หน้าแดงก่ำเป็นกวนอู เหนื่อยก็เหนื่อยมาด้วยกัน กินก็กินกันเต็มที่ ให้เต็นที่ ขรี้เต็มส้วม เรียกว่า สุดไปเลย ลูกน้องรัก นับถือ ศรัทธา และ เคารพ เจ้านายก็ล้วนมาจากการกระทำเหล่านี้ที่เพิ่มพูนในใจขึ้นทุกวัน ทุกปี ไม่มีที่ว่างในใจให้ใครเข้ามานั่งแทนเถ้าแก่ได้อีกแล้ว….

บริบทของตรุษจีน การไหว้เทพเจ้าขอพร รวมทั้งไหว้บรรพบุรุษแสดงกตเวทิตา เพื่อความเจริญรุ่งเรืองของลูกหลานในปีต่อ ๆ ไป และตลอดไป ในเวลาต่อมาบ้านเมืองของเราซึ่งเป็นแหล่งรวมหลอมวัฒนธรรมเข้าด้วยกัน โดยเฉพาะไทย-จีนนั้นแยกกันไม่ออกอยู่แล้ว ทุกวันนี้ เราจึงเห็นผู้คนทั้หลายพากันตั้งโต๊ะไหว้กันทุกหัวระแหงในเทศกาลตรุษจีน มีทั้งไหว้รถยนต์ ไหว้เครื่องมือทำมาหากิน ไหว้รถไถ ไหว้มอไซค์ ฯลฯ โต๊ะจะใหญ่จะเล็ก ก็ว่ากันตามฐานานุรูปไม่มีใครว่าใคร ชาวไร่ ชาวนา ก็มีไหว้เช่นกัน ไหว้เสร็จ ก็เอาหูหมูมาผัด เอาปลานึ่งมาทำนึ่งมะนาว เอาเหล้าแดงมาถองกันตั้งกะเที่ยงลากยาวไปยันเย็น นับเป็นการประยุกต์วัฒนธรรมเข้ากันแบบกลมกลืนที่สุด

ชีวิตการทำงาน ช่วงแรกบริษัทมีผู้บริหารใหญ่เป็นมุสลิมย่านอ่อนนุช ตอนนั้นไม่ค่อยได้อินอะไรกับตรุษจีน แต่มีเพื่อนร่วมงานหญิงชายเป็นลูกหลานคนจีนให้พอซึมซับได้บ้าง ต่อมาก็มาทำงานบริษัทต่างชาติ มีให้เห็นพอเป็นกระสาย (ฝรั่งเอาหมด ทั้งไทย จีน แขก สงกรานต์) จนมาช่วงหลังนี้ เจ้าของบริษัทและครอบครัวเป็นตระกูลคนจีนใหญ่เป็นเจ้าสัว ทุก ๆ ปีบริษัทก็จะจัดงานไหว้ทั้งศาลพระพรหม ศาลต่าง ๆ เพื่อเสริมสิริมงคลของตนเองและบริวารรวมทั้งเกื้อกูลกิจการงานบริษัท งานไหว้ก็จะคึกคักกันตั้งกะจัดงานเตรียมงาน เสื้อผ้าก็ต้องเน้นทางแดงไว้ก่อน (ถูกแพง แดงเท่านั้น) อันนี้สร้างความกระอักกระอ่วนให้กับกุมารไทย(แท้)ทั้งชายหญิงที่ผิวเราไปทางคล้ำตามธรรมชาติของบรรพบุรุษ การต้องมาใส่แดงแปร๊ดแบบนั้น ไม่ต่างกับ “กาคาบพริก”ตามโบราณเขาว่า เขาจึงลดหย่อน theme มาให้เป็น แดง เหลือง ชมพู หรือ สีสดใส… พวกอีกาทั้งหลายก็เลือกเอาตามอัธยาศรัย ไม่ขัดใจใคร ไหว้ศาลกันแล้วก็มาเข้าแถวรับซองแดงจากเจ้าของบริษํทแลกเปลี่ยนรอยยิ้มกันในตอนนี้ จำนวนเงินในซองนั้นผันแปรตามสภาพเศรษฐกิจและการประกอบการของบริษัท โดยเปิดดูในซองได้เลย ไม่ต้องไปดูงบการเงินบริษัทให้เมื่อย

ทุกวันนี้ เราไม่แยกกันแล้วว่าใครคือไทย ใครคือจีน ใครคือ เชื้อสายจีน เราอยู่ที่เดียวกัน ทำงานด้วยกัน กินอยู่แบบเดียวกัน ไม่มีแบ่งแยกกันแล้ว ตัวเราเองนั้น รุ่นสูงไปกว่าย่า มีการเรียกกันว่าก๋ง เข้าใจว่าน่าจะมีความเกี่ยวข้องกับความเป็นจีนบ้าง แต่สายทางปู่นั้นเป็นไทยทำนาของแท้ย่านสมุทรสาคร ตาและยายก็เป็นไทยทำนาอยู่ในคลองนิยมยาตรา บางบ่อ โน่น หากจะนับว่าเป็นเสี้ยวเป็นเศษ ก็คงจะไม่เหลือเท่าไหร่แล้ว เช่นเดียวกันกับเพื่อน ๆ ทั้งหลายในวัยเด็กก็จะค่อย ๆ เจือปนกันกับเชื้อชาติอื่นไปเรื่อย ๆ รุ่นพ่อแม่ยังไหว้อยู่ตามที่ปู่ย่าไหว้กันมา รุ่นลูกทำงานไม่มีเวลา ก็ไม่มีไหว้ แต่ยังมากินข้าวปลากันตอนเย็น (ไม่รู้ยังเล่นไพ่กันไหม) เชื่อว่าถัดไปอีกรุ่นสองรุ่น บางอย่างก็จะโรยราลงไป เป็นเรื่องปรกติของวัฒนธรรม แต่สิ่งดี ๆ ก็ยังจะถูกธำรงเอาไว้ต่อไปลูกหลานจะคัดเลือกมันไว้เอง

ทุกวันนี้ เวลามีคนมาบอกว่า พรุ่งนี้จะขอลาไปไหว้เจ้า บางทีต้องมองหน้าชัด ๆ อีกทีว่า คุณมีเชื้อจีนกับเขาด้วยเหรอ ….. ? หน้าตาอย่างไทย ใจยังเป็นจีน …. อะไรว่าดี ผมก็ว่าดีด้วย ขอให้ทุกท่านประสบสุข ร่างกายแข็งแรง กิจการรุ่งเรือง เฮง ๆ ทั้งปีมังกรทองนี้ และ ตลอดไป

วัยเด็กในวันเด็ก 2024.01.13

ครั้งหนึ่งในช่วงชีวิต ผมเคยเป็นเด็กมาก่อนกับเขาเหมือนกัน เด็กบ้าน ๆ ชายขอบพระนคร ที่ยังเป็นทุ่งนาสุดลูกหูลูกตาย่านทุ่งดอนเมืองเชื่อมต่อลำลูกกา เมืองปทุมธานี ถิ่นดีของการทำนา และ สวนส้ม สวนฝรั่ง ผลไม้ต่าง ๆ

เด็กในวันก่อน ทุกอย่างอยู่ในระเบียบ ส่วนวินัย จะเสริมจะสร้าง และได้มาเป็นนิสัย หรือ สันดาน อันนั้นก็แล้วแต่ตัวบุคคลใครบุคคลมัน เด็กสมัยนั้นได้รับการอบรมสั่งสอน ด้วยการกระทำที่เป็น”เยี่ยง” และ “อย่าง” ให้เห็น ไม่มีใครต้องไปซื้อหนังสือมาอ่าน เพื่ออบรมสั่งสอนลูก ครอบครัวและญาติ ๆเป็นเกราะล้อมเด็ก ๆ ที่เป็นผ้าขาว(เขาชอบบอกแบบนั้น)ห่อหุ้ม ประคอง ให้ความทะนุถนอม อบรม บ่มเพาะ กว่าจะโตมาได้แต่ละหน่อ ๆ ออกมาเป็นผู้เป็นคนได้ ก็ใช้ทั้งสรรพกำลัง ทรัพยากร ไปตั้งมากมาย ขึ้นต้นเป็นมะลิซ้อน มาแตกใบอ่อนเป็นมะลิลาก็หลาย ๆ กรณีไป

วัยเด็ก สิทธิ์เป็นศูนย์ มีหน้าที่รับฟัง หากมีคำถามให้เก็บไว้ในใจก่อน การถามย้อนออกมาเป็นการกระทำที่ไม่รู้ควร ไม่รู้เด็กไม่รู้ผู้ใหญ่ ไหนจะมีคำว่า กาละเทศะ เข้ามาครอบเอาไว้ด้วย มีปากแต่เอาไว้ตอบ และต้องตอบให้ชัดเจนด้วย จะมาอมพะนำ เกรงดอกพิกุลจะร่วงไม่ได้

การให้ความรู้ ให้การศึกษาเป็นเรื่องของครู นั่นจึงทำให้ต้องออกไปจากบ้านไปรับการศึกษา กลับทางครูให้การบ้านกลับมาทำที่บ้าน ซึ่งก็ควรจะเป็นการทำด้วยฝีมือของเด็กเอง จึงไม่เคยเห็นว่า จะมีการ”สอน”การบ้าน หรือ “ทำ”การบ้านให้เด็กลอกไปส่งครูแบบปัจจบัน พ่อแม่ต้องทำงาน ทั้งงานราษฎร์ งานหลวง งานบ้าน งานญาต งานขอ กิจกรรมต่าง ๆ มากมาย ไม่มีเวลาที่จะมานั่งรอรับ ส่ง สอนงาน ทำการบ้าน ทำงานส่งครู พาท่องศัพท์ อ่านนิยายก่อนนอนให้ฟัง เพื่อให้หนู ๆ หลับฝันดี กลับกัน กลับบ้านมาไม่ใช่จะถลาบินออกไปเล่นได้รอบบ้าน ต้องช่วยเหลืองานบ้านก่อน (หากมี) หรืออย่างน้อยก็งานเรื่องของตัวเองนั่นแหละ แบ่งเบาทางบ้านลงไป เก็บผ้า พับผ้า พวกนี้ เด็กทำได้ หุงข้าว(เตาฟืน) ล้างชาม จาน ก็อาจจทำได้ ถ้าโตมาหน่อย สมัยนี้ เอาเด็กไปทำงานแบบนั้นเขาว่า เข้าข่ายค้ามนุษย์ ผิดดฎหมายนะเว้ยเฮ่ย ….. เอาเป็นว่า พวกเราก็เติบโตมาเป็นผู้คน จนหัวขาวกันได้สมัยนี้

สถานที่เล่น หรือ สันทนาการของเด็กนั้น ไม่ใช่โลกโซเชียล ห้างพารากอน หรือ ซาฟารีเวิร์ล ที่สมัยนั้นก็ยังเป็นป่าจริง ๆ อยู่เช่นกัน มันคือ ทุ่งนาหลังบ้าน ก่อกองหญ้าทำซุ้ม กรโจม เข้าไปหมกตัวกัน วันนี้ยังดี ๆอยู่ พรุ่งนี้ไปอีกที วัวเอาหญ้าไปกินหมดแล้ว ประหยัดแรงเกี่ยวหญ้าของพวกเลี้ยงวัวด้วย มีสนามทั่ว ๆ ไป ของคนที่เขามาถมดินปรับที่ รอเก็บเงินมาปลูกบ้านต่อไป ที่ว่าง ๆ พวกนั้นอาจจะอยู่ยาว ๆ ไปถึงห้าปีสิบปี คนสมัยก่อน อดทนในการเก็บหอมรอมริบ กว่าจะได้เงินมาพอปลูกบ้านแต่ละแปลงลูกก็โต ๆ กันหมดแล้ว แต่ก็ยังดีกว่า สมัยนี้ที่ผ่อนทุกอย่างกระทั่งกะละมังซักผ้า และมีหนี้กันส่งเจ็ดชั่วโคตรก็ไม่หมด อย่างว่า เขาบอกว่า มีไว ใช้ไว ใครจะไปรอวะ เสียเวลา (ซึ่งมีเท่ากัน) ตามท้องนา ท้องทุ่ง ก็จะมีต้นไม้ ต้นโสน ต้นทองหลาง ต้นมะขามเทศ ให้เด็ก ๆ ปีนป่าย ไปเก็บไปหัก กลับมาบ้าน (ทำเป็นเอามาฝากแม่ แต่จริง ๆ เอามากันไม้เรียว ที่กลับค่ำ กลับมืด) รู้จักสารพัดสัตว์ ก็ตาม ๆ พวกสิ่งแวดล้อมนี้ แมงด้วง แมงกว่าง แมงทับ ตั๊กแตนตำข้าว ฯลฯ เรียนรู้กันไปตามนั้น เก็บหญ้าที่มีหัวดอกเป็นเหมือนหงอนไก่ เอามาตีกัน บอกว่า “ตีไก่” ใครจะหัวขาดก่อนกัน ยิงนก ตกปลา ขุดหาไส้เดือน ท่องน้ำเก็บผักบุ้ง ผักกระเฉด ที่พ่อแม่เอามาปัก ๆ ไว้ตามบึงน้ำหลังบ้าน หลังบ้านใคร ก็ตกเป็นของคนนั้น ไม่ต้องแย่งกัน เหลือมาก ก็แบ่งปันไปฝากข้าง ๆ บ้าน โดยการใช้งานเด็กพวกนี้แหละ เดินไป

ครอบครัวพี่น้องหลายคน พ่อทำงานคนเดียวในราชการธรรมดา ๆ ไม่ได้เป็นซีพิเศษอะไรกับเขา คำว่าประหยัดมันต้องอยู่ในสายเลือด เสื้อผ้า ใช้ระบบตกรุ่น คนที่หนึ่งมาคนที่สอง และคนที่สามมาคนที่สี่ คนโต เสื้อผ้าต้องซื้อ “เผื่อโต” คือ ให้มันโตเข้าไปอีก สมัยนี้มาฮิตกันซะแล้ว ต้องโคร่่ง ๆ ไว้ก่อน แต่สมัยนั้น เราไม่ได้มองกันด้วยความขบขัน มันคือ ความจำเป็น กางเกงนักเรียนคนแรกใส่ มันจะกรอมลงไปเกือบครึ่งแข้ง แล้วจะค่อย ๆ สูงขึ้น ๆ เพราะขายาวจนมาประมาณเหนือเข่า ก็จะได้เวลาปลดระวางให้คนต่อไป แม่จะเอาไปปะตูดเสริมใยเหล็กให้ก่อนเพราะก้นกางเกงจะบางกว่าเพื่อนเมื่อเวลาผ่านไปจากการสัมผัสที่นั่งและอื่น ๆ เราก็จะได้กางเกงมือสองปีสามรุ่นใบโพธิ์ปิดตูด เสริมกระชับรับแรงเวลาครูเอาไม้เรียวตีตูด ได้รับแรงความเจ็บน้อยลงไปนิดนึงก็ยังดี เช่นกัน สมัยนั้นเราไม่ได้อายกันเพราะเรื่องแบบนี้ หน้าอกเสื้อ ปักชื่อ นามสกุล ถ้าจะเอาสวย มีรับจ้างปักด้วยเครื่อง ที่บ้านแม่ใช้”สะดึง”ขึงให้ตึงแล้วปักเอง จะเอาหนา บางเท่าไหร่ได้หมด ส่วนมากเน้นที่ “นามสกุล” เพราะ มันจะเหมือนกันทั้งพี่และน้อง ส่วนชื่อ จะปักบาง ๆ ไว้ก่อน เผื่อเลาะออกจะได้เลาะง่าย ชื่อและนามสกุลของเราพี่น้องจึงมีความเข้มที่แตกต่างกันพอมองออก แบบว่าเป็น Bold font ก็ว่าได้

การหารายได้เสริมเข้าครอบครัวเป็นหน้าที่ของแม่ ซึ่งก็ต้องใช้แรงงานของลูก ๆ ในบ้านนั่นแหละช่วยได้เท่าที่จะทำได้ เช่น การพับถุงใส่ของจากกระดาษหนังสือพิมพ์ แม่จะทำ”แป้งเปียก” ขึ้นมาชามใหญ่ ๆ แล้วเอาแปรงสีฟันเก่า ๆ ที่มันบานอ้าซ่าแล้ว เป็นแปรงสำหรับแปะกระดาษ เรามีหน้าที่ พับ ตัด รีด ให้มันได้ขนาด ทำเสร็จกันนี่ปลายนิ้วจะดำปี้ไปด้วยหมึกพิมพ์ของกระดาษปนกับแป้งเปียก กว่าจะล้างออกได้ หลายวัน พอดีครบรอบอาทิตย์ ทำต่ออีก ก็ดำซ้ำ ๆ กันไปอย่างนั้น เป็นซีซั่น ๆ ไป เช่นเคยไม่มีใครตายหรือป่วยจากการสัมผัสตะกั่วและยังมีชีวิตกันดีในปัจจุบันนี้

กว่าจะโตมาแต่ละปี ๆ ก็จะมีคนมาถามว่า “โตขึ้นอยากเป็นอะไร” อยู่เสมอ ๆ แต่จะไปตอบได้อย่างไร ในเมื่อยังไม่รู้เลยว่าไอ้คำว่าอะไรที่จะเป็นน่ะ มันมีกี่แบบ และ มันต่างกันอย่างไร ?? คำตอบจึงมีมั่ว ๆ ไปตามแต่จะเห็นอะไรในตอนนั้น เช่น หมอ ทหาร ครู พยาบาล ฯลฯ ไม่ได้ปราดเปรื่องแบบเด็กปัจจุบันที่ รู้ทะลุปรุโปร่งว่าหน้าที่ สิทธิ ความถนัด และ อื่น ๆ ที่ประกอบมาเป็นตัวเองนั้นเหมาะกับการเป็น หรือ มุ่งจะเป็นอะไร ไหนจะแรงส่ง ผลัก หนุน ลาก จากพ่อแม่อย่างหนักหน่วงอีก ชีวิตมันจึงต่างกัน …..

สองอาชีพที่เมื่อตอนเด็กเห็นว่า น่าจะสบายที่สุดคือ “ทหารอากาศ” และ “ช่างการบินไทย” เพราะแถวบ้านจะพบสองชุดฟอร์มนี้ เดินกันขวักไขว่ โดยเฉพาะในร้านลาบเล็ก ๆ ที่มีอยู่ทั่วไปตามหัวมุมซอย จะพบทั้งสองกลุ่มนั่งถองเหล้ากันอย่างเพลิดเพลิน อยู่แทบจะทุกวัน (หน้าอาจจะไม่ซ้ำกลุ่ม) ทหารบางราย ออกจากบ้านเดินหลังตรงไปขึ้นรถเมล์ปากซอยประมาณเก้าโมง สักสิบเอ็ดโมงครึ่งเดินกลับเข้าซอยมาแระ เคยถามแม่ว่า ทำไมเขาไปกันแป๊บเดียวก็กลับแล้ว พ่อเราไปทำงานที่ไหน ใส่ชุดเหมือนเขาทำไมหายตัวไปเลย เด็กเอ๋ยเด็กโง่ โตมาแล้วจึงรู้ความ ว่าคนเรานั้นมันช่างหลากหลาย คนดีก็มี คนไม่ดีก็มี การที่เขาทำอย่างนั้น จะบอกว่าดีหรือไม่ดี มันก็ต้องดูเหตุของเขา เรามันคือผู้ที่เห็นการกระทำของเขาเท่านั้นหล่ะหนอ

นั่งทำบันทึกเอาไว้ให้เป็นอนุสรณ์ความทรงจำวัยเด็ก อีกหลาย ๆ ปี meta มันคงเตือนให้กลับมาอ่านบ้าง พอเป็นความทรงจำเล็ก ๆ
อีกสัจธรรมที่เห็นมาจากตอนเป็นเด็ก พ่อแม่ประคองให้เดินก็จะบอกว่า “ก้าวขา ๆ อีกนิด ๆ อย่างนั้น เก่งมาก” หรือ แม่พอไปหาหมอจะฉีดยา ก็จะบอกว่า “เจ็บนิดเดียว ๆ มดกัด ๆ นะ คนเก่ง ๆ ” หลอกให้ตายใจ พอเข็มปักลงไปก็แหกปากทุกคน กลับกันวันนี้ เวลาพาบุพพการีไปตามที่ต่าง ๆลูกต้องเป็นฝ่ายพูด “อีกนิด ก้าวสิ ก้าว โธ่ ทำไมไม่ทำซะที มันยากตรงไหนห๊ะ” ด้วยเสียงที่หงุดหงิด ผู้ที่ถูกน้ำเสียงนั้นกำชับก็คือคนที่เคยให้เสียงปลอบโยน ให้กำลังใจเรามาเมื่อก่อนนั่นแหละ หรือโลกมันหมุนผิดทางนะโยม ???

13.01.2567 วันเด็กแห่งชาติ ของสยามปีนี้

ปิดทริป สะเก็ดข่าว บ้านนาคูหา 27-30/11/65


สะเด็ดข่าว จบทริป
สิ่งที่คาดหวัง และสิ่งที่พบเจอ ที่แตกต่างกันมากสุดเลย คือ “การเดินทาง”
ตอนอ่านรีวิว เตรียมตัวนั้น แพร่ มีรถสองแถว มีสามล้อปั่น ไปไหนสะดวก นั่งไปเรื่อย ๆ ลงไหน ก็รอต่อรถวนรอบเมือง เดินทางจากสถานีรถไฟเด่นชัย เข้าเมื่อง มีคิวสองแถวจอดรอเป็นตับ
ความจริง…. ลงจากรถไฟมาแบบเมาขี้ฟัน มีรถสองแถวเก่า ๆรออยู่คันนึง คนเกือบเต็ม แต่ไม่ออก มองมาทางเรา (เสร็จกรูแน่) เพื่อให้ขึ้นคันนี้เถอะ ไม่มีรถแล้ว ย่อง ๆ ไปถาม ว่าเข้าบขส.เหรอ ลุงทำหน้าผิดหวังนิดหน่อย แล้วพยักหน้ารับ ….
ขึ้นไปเบียดเสียดกันเดินทาง กระป๋งประเป๋า ลุงซิ่งสุด แปดโมงล้อลาก… ยกโค้งแทบเท ไม่รู้ทำไมต้องเร็วขนาดนั้น ตรงคิวร้องกวาง เด็กลงไปหกเจ็ดคน ลุงก็ยังไปต่อด้วยความเร๋วเท่าเดิม ไปหย่อนที่ บชส. จ่ายเงิน ลุงบอก ห้าสิบบาทต่อ คน ให้ลุงแกไปแล้วถามว่าผมจะไปไหนมาไหนได้จากที่ใดบ้าง แกชี้ไปที่ลุงแก่ ๆ อีกคน ที่เกาะรถเก่า ๆ อยู่ แล้วก็บอกว่า คนนี้แหละ (มีต่อ) แกบอกว่า แกต้องรีบไปส่งอีกสองคน ทีช่อแฮ แล้วกลับไปรับรถไฟสิบโมงให้ทัน (มิน่า ถึงซิ่งกระจุย) แกบอก หากพลาดสิบโมง ก็หมดแล้ว วันนี้ ไม่มีคน
(ตัดภาพมาที่ลุงคนที่สอง) ลุง ๆ ผมอยากนั่งรถไปเรื่อย ๆ กับลุง ลุงผ่านทางไหนบ้าง แกบอก “จะไปไหนอ่ะ” … ว่าแล้วก็มาตามบท คือ ต้องเหมา คิดแปดร้อยบาท (เท่ากับค่ารถไฟมาจากบางกอก) บอก เฮ้ย …. ไม่เห็นเหมือนในรีวิว ลุงไม่สนอยู่แล้ว งานนี้ต้อง ฮาร์ดเซล ลุงเดินตามไม่หยุด จะไปถามปชส.บขส.เรื่องเดินทาง ลุงก็มายืนกดดันข้าง ๆ ไปได้ ๆ ให้เท่าไหร่ เอ้า หกร้อยน่า ไป ๆ …. คนบขส.ก็บุ้ยบ้าย ช่วยอะไรไม่ได้
มีสองแถงแดง เข้ามาคันนึง จะไปทางอ.สอง เราก็เดินไปถาม แกกำลังจะตอบ ลุงเดินสิงมาเป็นเงาข้างหลัง คนขับ ก็บอกผมไปสอง ๆ แล้วก็จากไป (เขาคงไม่ทับทางกัน) หันไปบอกลุงว่า ผมไม่ได้กับลุง ลุงไปเถอะ ผมจะหาทางออกไปจากที่นี่ให้ได้เอง (ลุงยังไม่ไปไหน ยังยืนสะกดวิญญานอยู่)
เหลือบไปเห็นแท็กซี่ หลงมาจากไหนไม่รู้ ไม่เคยรู้มาก่อน ว่าที่แพร่มีแท็กซี่ เข้าไปใกล้ ๆ คนขับ (คนกำลังลงจากรถ) ลุงเขยิบมาในระยะที่คนขับแท็กซี่จะมองเห็น เพื่อสะกดวิญญานอีกครั้ง พอถามพี่คนขับ แกบอกรถแกจะล่องพิดโลก เพราะ เขาว่ามาให้มาส่งด่วนที่นี่ ถามว่า ผมกดมิเตอร์กับพี่ได้ไหม แกบอก ได้ ๆ หรือจะเอาชม.ละสองร้อยก็ได้ ไปไหนก็ไปแล้วแต่คุณเลย …
(หันไปมองลุง แกหมดความหวัง แล้วเดินจากไปเงียบ ๆ ไม่พูดอะไร)
พี่ปรีชา แท็กซี่ สู้ชีวิต ส่งลูกสองคนเรียนหนังสือที่พิดโลก แกคนลานบือไปได้เมียทางอีสานแต่กลับมาอยู่กันที่พิดโลกหลายสิบปีแล้ว แกเป็นคนทันสมัย ใจบริการ พาไปกินข้าวเช้า ชวนกินก็ไม่กิน ไอ้เราก็คิดร้าย กลัวแกจะปล่ยเราลงแล้วเชิดกระเป๋าไป (คนเรามันคิดอย่างนี้ได้ แสดงว่า จิตใจต้องไม่สะอาดเท่าไหร่ หมายถึงเราเอง) ออกมาแกก็ยังอยู่ที่เดิม นอนฟังวิทยุ ยูทูป หาคลื่น หาห้องที่เรียกรถทั่วไทย แกบอก ฟลุค ๆ จะมีคนหารถส่งด่วน ถ้าจับได้จากแพร่ก็ถือว่าเที่ยวนี้ กำไรชีวิต ชวนแกไปแพะเมืองผี ไปช่อแฮ แล้วให้ไปส่งที่นาคูหา แกไปหมด พอได้เห็นสถานที่ บอกให้ลงเทียวด้วยกัน แกบอก ผมได้เที่ยวก็เพราะลูกค้าแบบนี้เยอะแยะ แต่ผมจะรอพาลูกมาเที่ยวด้วยครับ แกแค่ขอถ่ายแซลฟี่ หน้ารูปพระ รูปปั้นเสือ ยกมือยกนิ้ว ส่งให้ลูกดู…. น่ารักมาก
แยกย้ายกับแกที่นาคูหา แล้วเข้าสู่โหมดจำศีล ค่าโดยสารที่ให้แกนั้น ไม่ได้รู้สึกว่าน่าเสียดายอะไรเลย แกบริการถึงใจจริง ๆ
หน้าที่พัก พี่สายัณห์ ให้เจ้าลูกชายเอามอไซค์มาให้ไว้คันนึง สภาพใหม่เอี่ยว เวฟ ซะด้วย แกบอกใช้ไปเลย จะไปไหน ก็ขี่ไป (ไม่มีบอกไว้ในการติดต่อขอที่พัก แค่เคยถามแกว่า หากผมจะไปไหนมาไหน กับชาวบ้านได้ไหม แกบอก เขาไปทำไร่ทำนา ไม่มีใครพาคุณไปไหนหรอก…) ได้ใช้รถนี่แหละ ไป ๆ มา ๆ สั้น ๆ แถวนั้น ท่องไปดุ่ย ๆ จะตกดอยตาย จะโดยสวนลงมาโดยรถปิคอัพแทบทิ้งชีวิต ลงดอยแบบเบรคไม่ได้สนิท ขาซิ่งบอกให้ลงเกียร์ว่างแล้วไปวัดเอาที่โค้ง….. ถ้าทำอย่างนั้น วันนี้ ก็คงเผาแล้วหรือไม่ก็อยู่ในหุบ หาไม่เจอ…
นั่งพึมพำ ๆ (พอให้พี่สายัญห์และเมียได้ยิน) ว่าจะกลับลงไปยังไงดีน๊า ….. (ดังนิด ๆ ) แกคงรำคาญใจ บอกเบา ๆ ว่า “ไปส่งให้ก็ได้……” ว่าแล้วเมียแกก็กุลีกุจอ เรียกทีมข้าวเกรียบมารุมทำกันใหญ่ เพื่อเตรียมส่งไปในเมือง ที่ตลาด แกบอก จะไปส่งของพอดี ติดรถไปได้ แต่เรื่องจริงคือ ไหน ๆ จะไปส่งแล้ว ก็ติดของไปด้วย พอได้เงินได้ทองบ้าง … น้ำใจอันยิ่งใหญ่ของแก
วันกลับ แกอุตส่าห์ถามว่า จะไปอยู่กันที่ไหนล่ะ รถไฟออกตั้งทุ่มนึง บอกว่า ผมพอจะรู้จักบ้านวงศ์บุรี คงพอไปพักผ่อนรอได้ที่นั่น แกก็พาไปส่งให้ ร่ำลากันเรียบร่้อย ขอให้โชคดีมีสุข
ที่คุ้มวงษ์บุรี สอบถามผู้ดูแลบ้านว่า ผมจะไปจากที่นี่ได้อย่างไร จะไปคิวรถเด่นชัยหน้าอาชีวะ แกบอก “ไม่มีหรอก” อ้าวเฮ้ย…… ถามย้ำ ว่า ผมเดินไปทางหลักก็ได้นะ ที่สามล้อผ่าน (ยังไม่ลืมสามล้อ) หรือรถรอบเมือง แกก็บอก “ไม่มี” ว่าแล้วก็เดินอาด ๆ ไปที่บ้านพักของทายาทคุ้ม บอกว่า “มีแขกไม่มีรถออกไปข้างนอกค่าาาาาา” แล้วคุยอะไรกันพัก กลับมาบอกเราว่า เด๋วมีคนในบ้านออกไปส่ง …. (โห…..)
เดินชมบ้านไปจนคอตก มานั่งสับปะหงกอยู่ข้างล่าง น้องผู้หญิงกริยาดี มาเรียกว่า “จะออกไปหรือยังคะ” ตอบทันที ครับ ๆ แล้วก็ลุกพรวดพร้อมพุ่ง น้องบอกว่า เด๋วไปเอารถก่อน แล้วมีพี่สาวอีกคนกริยาดีเหมือนกันไปด้วย รถที่ว่าคือ Mitsu MPV อย่างดี ให้แขกตกรถสองคนและของพะรุงพะรังขึ้นรถ ถามว่า ให้ไปส่งที่ไหนคะ …. (แสดงว่า เขาไม่ได้จะไปไหน ออกมาส่งเราอย่างเดียว) พอบอกที่ และเล่าให้ฟังว่า ผมเคยมาคุ้มนี้เมื่อสิบกว่าปีก่อน ยังสวยเหมือนเดิมเลย เธอกล่าวขอบคุณมาก ๆ และบอกว่า ที่แพร่ไม่มีรถผ่านแบบที่เข้าใจนะคะ รถรอบเมืองก็ไม่มี สามล้อนี่นาน ๆ จะเห็น บ้านเราต้องออกมาส่งแขกเป็นประจำแหละค่า ไม่เป็นไรหรอก (ค่าชมบ้าน 30 บาท ต้องมาส่งแขกแบบนี้ ไม่เรียกน้ำใจงามจะเรียกว่าอะไร) พอส่งลงเสร็จ น้องไหว้ลา และ ขอบคุณ งาม ๆ (เราก็ไหว้ขอบคุณเช่นกัน)เป็นการลาที่สวยงามและน่าประทับใจมาก ๆ
ที่คิวสองแถวกลับเด่นชัย ถามพี่ว่า รถออกกี่โมง แกบอก ทุกครึ่งชม. ไม่มีคนก็ออก ต้องให้โอกาสคนที่ต่อคิวเขาด้วย นี่มากันสองคนใช้ไหม คงได้แค่นี้แหละ ออกรถมาตั้งกะตีสี่ ไปรอรถไฟ มีนั่งมาคนเดียว 50 บาท วันนี้คงได้แค่ค่ากับข้าวเท่านั้นแหละ รอจนเที่ยงครึ่งรถออก มีนั่งไปสองคนจริง ๆแกไปของแกเรื่อย ๆ บีบแตรถามไปตามข้างทาง เผื่อมีคนขึ้น และ ก็ไม่มีนั่นแหละ บอกแกว่า ขอให้ไปส่งข้างโรงพัก ก่อนถึงสถานีรถไฟ มีร้านอาหารผู้ใหญ่เสริญอยู่ จะไปนั่งกินอะไรรอไปเรื่อย ๆแกก็รับปาก พอถึงแกก็จอดให้ลงแล้วบอกว่า มันอยู่ในซอยนี้แหละ ชำระเงินแก 50*2 เป็นหนึ่งร้อย และบอกแกว่า เมื่อกี้ มีคนนั่งมาสี่คนนะลุง ผมจ่ายให้เขาอีกสองคน 100 บาท แกทำหน้างง ๆ บอกว่า ก็มากันสองคน คนละ 50 เป็นร้อยนึง แกไม่รับไว้ เลยบอกว่า ผมมาสี่คน ลุงเอาไปเถอะ เป็นค่ากับข้าว เท่านั้นแหละ แกดีอกดีใจ ให้พรมากมาย พนมมือพนมไม้ ขอให้ก้าวหน้าก้าวไกลปลอดภัย เจริญฮวบ ๆ ฯลฯ เห็นใบหน้าที่มีความสุขของแกแล้ว เราก็มีความสุขไปด้วย …
ตัดมาต่อที่หน้าโรงพัก กำลังจะข้ามถนนไปหาซอยเข้าร้าน แต่ไม่รู้มันข้างไหนกันแน่ เลยไปถามร้านน้ำปั่น “ร้านผู้ใหญ่เสริฐไปทางไหนครับ” “โฮ้ว… จะไปเหรอ มันไกลนะ …” อ้าว ผมเห็น GPS บอกเดินสามนาที เขาบอกไม่ ๆ มันไกลกว่านั้น เป็นกิโลแหละ หากจะเข้าไป ออกมา และ ไปสถานีรถไฟอีก หลายกิโลเลย …. กำลังหมุนไปหมุนมา ว่าจะเอางัยดีวะ แม่ค้าน้ำปั่นก็เอ่ยขึ้นว่า “ไปส่งเขาหน่อย” เขาพูดกับน้องทอมไลน์แมนที่มานั่งรอรับน้ำปั่น …. ไอ้น้องลุกมายิ้ม ๆให้แบบงง ๆ แม่ค้าบอก เอาของไว้นี่แหละ ไม่หายหรอกให้เขาไปส่งให้ ไอ้น้องเก้ ๆกัง ๆ จะไปอัดสามซ้อนยังไงดี ตัวยังกะหมี หมุนไปหมุนมา มีผู้ชายอีกคนเพิ่งจอดมอไซค์มาถามว่า จะไปไหนเหรอ บอกเป้าหมาย เขาเดินกลับไปติดเครือง บอก ผมไปส่งให้อีกคน ว้าววว
แยกกันนั่งรถเข้าไปสองคัน ประมาณ สองกิโล (ไอ้จีพีเอสเวร ถ้าเดิน ก็คงสลบกลางแดด) พอลงรถ ขอบคุณพี่เขา ดาด้าจะให้ค่ารถน้องทอม น้องปฏิเสธหนักเลย ไม่ๆๆๆๆๆๆ พี่ผู้ชายก็ไม่ สรุปมาส่งให้ฟรี แล้วก็ขับออกไป น้ำเอยน้ำใจ….. อีกแล้ว ภายหลังรู้จากร้านว่า ผช.คนนั้นคือ สารวัตร ที่ทำงานบนโรงพักนั่นแหละ คงมาหาเครื่องดื่นกิน พบประชาชนเดือดร้อน ตร.บริการทันที (ตร.ดี ๆ ก็มีมากมาย แต่ไม่ค่อยเจอบริเวณที่เราอยู่)
กินอาหารกันเสร็จ นั่งแช่กันไป จนห้าโมงเย็น ขยับขยาย (กำลังเดาใช่ไหม ว่า จะอออกมายังไง….) ลูกเขยผู้ใหญ่ ที่นั่งดูยูทูปอยู่บอกว่า จะไปสถานีรถไฟเหรอครับ เด๋วผมไปส่ง ไปทีละคนนะ เพราะ มันซ้อนสามไม่ได้ บอกว่า เอาลำบากเลย ต้องไปเอาของที่ร้านน้ำ่ก่อนด้วย เขาบอก ไม่เป็นไร ๆ กำลังสาละวนอยู่นั้น มีป้าคนนึง มาซื่อโซดาห้าขวด ได้ของแล้วกำลังจะไปก๊งแน่นอน น้องผู้ชายบอกว่า ป้า ๆเขาจะไปสถานีรถไฟ เอาเขาไปส่งด้วยสิ ป้าขยับรถแล้วบอก มา ๆไปส่งให้ … บ๊ะ … อะไรจะน่ารักขนาดนี้
ออกมากันสองคัน ไปเอาของ เขาดูแลให้อย่างดี พอเห็นเราไปคนเดียว ถามว่า พี่ผญ.ไปไหนอ่ะ บอกว่า โน่น ป้าพาไปแล้ว เขาบอกเดินทางปลอดภัยมาเที่ยวใหม่นะ แล้วก็ไหว้ลาเราซะด้วย น่ารักมาก ๆ เลย
ถึงสถานีรถไฟ กล่าวขอบคุณลูกเขยผู้ใหญ่ และ ป้าโซดาคนนั้น ไหว้ลากันงาม ๆ
สิ่งต่าง ๆ ที่สวยงามเหล่านี้ เราจะไม่มีโอกาสได้พบ ได้เห็น ได้สัมผัส เลย หากเรากรอบเราไว้ด้วย”รถ” สี่เหลี่ยม ๆ เดินทางในพื้นที่ของตน คอยกันไม่ให้คนมาขวาง มาปาดหน้า เบียดแทรก แย่งที่จอด เจอกัน จากกัน ก็เดินไปเฉย ๆ ไม่ต้องร่ำลาใคร มือหนัก ปากหนัก นั่นคือ สิ่งที่เราเจอทุก ๆ วัน
เสน่ห์ของแพร่ นอกจากความสวยงามของบ้านเมืองวัตถุ ธรรมชาต แล้ว ก็คือ ความน่ารักของคนแพร่ น้ำใจอันบริสุทธ์ สนทนาปราศรัยกันเอง ไม่มีเคลือบแคลง ….. มันเป็นความประทับใจมากที่สุดของทริปนี้จริง ๆ

สาวนุ้ย พั่ดลุ้งงงงงง เหมี่ยวผู้แสนจะขยัน

สาวนุ้ย พั่ด_ลุ้งงงงง
รู้จักเหมียวตั้งแต่จะจบงาน อยุธยา ไฮเทค ๑๘๐๑ จากการชักนำของ”ป้าใจ” บอกว่า หลานสาวอยากมาทำงานช่วงว่างๆ เคยทำงาน “โลตัส” มาก่อน งานสั้น ๆก็ทำ ว่าแล้วก็ให้ดูรูปในโทรศัพท์​แผล่บนึง ก่อนส่งหลักฐานจิปาถะมาให้ทางไลน์ ก็เลยบอกว่า ให้ติดต่อไปทาง “ผุสดี”​ ว่าจะเหมาะสมงานอะไรไหม (ณ เวลานั้น รู้แล้วว่า ระยองจะมีงาน ๑๘๐๒ และ เช่นเคย งานเล็ก ๆ โลกไม่จำ ไม่มีคนรับทำงาน…. ก็ต้องอดิศร คนว่างงานทั้งปี)
กลับมา ลลก.​ก็ถามผุสดีว่า เป็นงัยบ้างหลานป้าใจ โอเคไหม จะได้รับมาช่วยระยองสักสามเดือน…​ผุสดีบอกว่า ก็หลักฐานโอเคนะ พอจะบอกอะไรต่อ ผุสดีบอกว่า “เขาขึ้นรถไควมารอที่บ้านป้าใจแล้ว….”

นั่นคือ การเปิดตัวเหมียวในครั้งแรกที่ได้เจอกัน ก่อนจะจบงาน ๑๘๐๑ เหมียวก็ฝึกงาน ดูของ ดูสโตร์ ติดตามของจากผรม. ทำยืม ทำรับ เติมน้ำมัน จิปาถะ เพิ่งมารู้ภายหลังว่า ทุกอย่างคือ ครั้งแรกของเหมี่ยว และด้วยความเป็นมวยรอง เหมี่ยวพยายามทุกอย่าง จะถูกแกล้ง ถูกอำ หรือ ขับไล่ไสส่ง ดูถูกดูแคลนอย่างไร เหมียวอดทนผ่านมันไปได้

ผุสดี พา”น้องใหม่” ไปออกงาน ๑๘๐๒ ไปสำรวจห้องพัก สำนักงาน ฯลฯ ที่ระยอง เหมียวก็ไปมาแบบตื่น ๆ ใครให้ไปไหน ก็ไปหมด ไปด้วย (ตอนนั้น ยังเป็นพนักงานรายวันธรรมดาด้วยนะ)

เริ่มงาน เหมี่ยวออกสนามไปอยู่ระยอง ช่วยทำหน้าที่ นั่น โน่น นี่ ของงาน HDD ที่เราใช้ผรม.​ เหมียวไม่เกี่ยง ที่จะต้องนอนสำนักงาน กับทอมไสยศาสตร์​เจ้าตี๋ (ซึ่งเจอเจ๊ลิ้นจี่ถีบออกนอกห้องที่อยุธยา)ถึงจะต้องกางมุ้งนอนนอกห้อง ก็ยอมรับได้ เผลอแผล่บเดียว เหมียวก็ไปอยู่หน้างาน ในฐานะ จป.เหมียว กับลุงจำลอง ไปอำนวยจราจร ไปตรวจความปลอดภัย คนซิโนไทย ก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า จป.เหมียว ที่ขยันขันแข็งนี้ ไม่ได้ผ่านอะไรมาแบบจป.ตี๋ด้วยซ้ำ แต่กรำแดดหน้างานตลอด ๆ

ใกล้หมดงาน เหมียวเลือกที่จะไปต่อด้วยตัวเอง ติดสอยห้อยตามลุงจำลองมาลลก.​และ ต่อไปยังโคราชแบบ”ไปต่อไม่รอแล้ว”​ นี่คือ การตัดสินใจชีวิตของเหมียว ที่มีแรงผลักดันมาจากการสู้งาน ไม่เกี่ยง ไม่สนว่าใครจะมองยังไง เหมียวรู้ดีว่า เหมียวทำอะไรอยู่ เพื่ออะไร…
ที่โคราช ๑๘๐๓ เหมียวขยับขั้น เป็นเจ้าหน้าที่สโตร์รายวัน ดูแลงานเบิกจ่าย สิ่งของ ให้กับ ผรม.​และ คนของเราเอง นอกจากนั้นก็เป็นศุนย์รวมของพนักงานทั้งรายวัน รายเดือน(บางกลุ่ม) ในการดูแลกันและกัน ทำอาหารเช้า เที่ยง หรือ เย็น สังสรร กับเชฟตั้ม และ สหาย จนดึกค่ำ อีกวัน ก็กลับมาทำงานแต่เช้าตรู่ หากผมเดินทางไปจากกทม.​ถึงโคราชเช้า หรือ นอนโคราช แล้วเข้าไซต์เช้า ไม่มีเลยสักครั้ง ที่ผมจะไปที่แคมป์ก่อนเหมี่ยว …​เหมี่ยวอยู่ตรงนั้นตลอด ยังกับนอนที่นั่น ห้องนอนที่แสนสบายเหมียวก็มี บริษัท จัดให้อยู่แล้ว แต่เหมียวก็ใช้มันแค่พอนอนพักเท่านั้น หน้าที่ คือ การมาแจกจ่ายของ เครื่องมือ ให้คนงานไปทำงานแต่เช้า และ ดูแลงานสถานที่ ให้ทุกคนทำงานได้ไม่ติดปัญหา

เหมียวดูแลรักษาของ วัสดุ และ เครื่องมือ ของบริษํท แบบกัดไม่ปล่อย ถ่ายรูปรับของ ทำเอกสารตัดจ่ายของประจำสัปดาห์ (จริง ๆ หน้าที่ของอีกคน ที่ต้องทำ) ใช้ลายมือ กับปากกา ไม้บรรทัด ไม่รู้งานคอมพิวเตอร์ทำเอกสาร ส่งเข้ามา ไม่เคยขาด ไม่ต้องให้ทวงถาม และ เมื่อคอมเมนต์อะไร กลับไป นั่นคือ ครั้งเดียว เพราะต่อมา เหมียวจะไม่เคยที่จะทำอะไรพลาดซ้ำสอง เหมียวเรียนรู้จากทุก ๆ คำแนะนำ

แม้จะมีบ้าง ที่พวกลากมากไป แต่การพูดคุยกับเหมียวนั้น มีอย่างนึง ที่เหมียวไม่เคยเปลี่ยน คือ “การไม่(อยาก)โกหก” แม้บางเรื่องจะเป็นเรื่องของพวกพ้อง เหมียวเลือก ที่จะไม่พูด ไม่สร้างเรื่อง ไม่เสแสร้งแกล้งดี เพื่อให้ตัวเองดี คนอื่นชั่ว ….​เรื่องแบบนี้ ไม่ใช่เหมียว และผมเองก็จะพอทราบ ที่จะไม่ไล่เหมียวไปจนสุดซอย ที่จะทำให้ทุกตนต้องมารังเกียจเหมียวในภายหลัง สิ่งนี้ เหมียวไม่เคยเปลี่ยนจนทุกวันนี้

หมดงานโคราช เหมียวเป็นแม่งาน การย้ายของ กลับมาเก็บไว้ที่วังน้อย อย่างสมบูรณ์ ของหลายอย่าง ยังคงอยู่ให้คนในรุ่นนี้ นำไปใช้งานได้ แบบไม่เห็นคุณค่า การจัดเก็บ การตีร้านรับ แข็งแรง หนาแน่น และ มันจะอยู่เป็นอนุสรณ์ให้เราเห็นว่า นั่นคือ การผลักดันของเหมียว ที่ทำมากับมือ เหมียวทำรายการคืนของ อุปกรณ์ทั้งหมด แม้บางรายการสโตร์จะบอกว่า “ไม่มีในรายงาน” แต่เหมียวก็ทำ และ ครบถ้วน ถูกต้องเสียด้วย

หลังจากนั้น เหมียว”รายวัน”​ก็เข้ามาสู่ ลลก.​“รายเดือน” ทดลองงาน ในตำแหน่งผู้ช่วยสโตร์ เหมียวได้ขยับเข้ามาใกล้งานที่ตัวถนัด ทำได้ดี และ เมื่อเป็นน้องใหม่ เหมียวไม่เกี่ยง พี่ ๆ ให้ทำอะไร เหมียวทำให้หมด ….​พี่จะหยุด เหมียวเฝ้าให้ พี่จะก็อปปี้ สแกน เหมียวทำให้ การเดินทางจากบ้านมาทำงาน มันไม่ใช่ง่าย ๆ มันไกล และ ลำบาก แต่เหมียวอดทน และ ที่ผมรับทราบคือ เหมียวไม่เคยบ่นเลย ว่าเดินทางลำบาก… และ เพื่อนรวมงานทุกคน ก็จะคอยดูแล เวลาเหมียวจะกลับบ้าน อาจจะติดรถไปด้วยกัน บางวัน หน้างานมีของมาลง ให้อยู่รอ (หน้าที่คนอื่น)​เหมียวก็รอให้ ช่วยเหลือ ไม่ว่าอะไร ส่วนการกลับบ้าน ทุกคน ไม่สนใจ…..​นี่คือ สิ่งที่เหมียวทำให้กับทุกคน

เหมียวเป็นมวยรอง ต่อการทดลองงานแล้ว ต่ออีก จน ป้าหญิง ถอดใจลาออกไป ตำแหน่งงานว่างลง กับผจก.​และ สองหน.งาน ระดับสูง ๆ ที่ “ขาดผู้ช่วย”​ไม่ได้ และเหมี่ยวฟันผ่าตัวเอง พิสูจน์ให้เห็นว่า สาวนุ้ยบ้าน ๆ ที่ค่อย ๆ มาจับเอ็กเซล แมคไฟว์ และ เวิร์ด ทำเมโม ขอซ่อม เร่งงาน ติดตาม ฯลฯ แม้กระทั่งสแกนงาน ก็อปปี้ ส่งซอง รับซอง จากสนง.ใหญ่ เหมียวรับทำหมด
เขาจะมานับสต็อค ไปนับทรัพย์สิน เหมียวไปได้หมด ชื่อเครื่องมือ วัสดุ อื่น ๆ “พี่เหมียวช่วยหน่อย … “ ไม่เคยมีคำว่า “ไม่” จากปากของเหมียว ไปค้างอ้างแรมกับเขา เพื่อช่วยงานเขา ก็ไป (ไม่ได้เฉลียวใจเลย ว่า ข้างหลัง เขาจะช้อน”ความหวังดี​“ นี้ ไปเป็นของเขา)

ในที่สุด เหมียวก็ผ่านการทดสอบอย่างสุด ๆ และ เข้าเป็นพนักงานรายเดือนคนใหม่ของสนง.ลลก.​ พ่วงด้วยการต้องทดลองงานในตำแหน่งนั้นอีก ๑๑๙ วัน ถ้าให้นับวันทดลอง ทดสอบ ของเหมียวแล้ว ผมว่า ยาวนานที่สุดไม่เป็นสองรองใครในแผ่นดินบึงคำพร้อย ถามว่า เคยปริปากไหม ….​ไม่เคยได้ยินนะ (อาจจะมีบ้าง แต่ผมไม่ได้ยิน)

เหมียวในหน้าที่ใหม่ ดูแลงานในหน้าที่ ดูแลพื้นที่ รปภ.​และ ขยายวงไปวังน้อย ในกลุ่มวงจรปิด ของบริษัท การเข้าออกของบุคคลแปลกหน้า และ หน้าแปลก เพื่อวัตถุประสงค์สีเทา ๆ ไม่พ้นสายตาของเหมียว บางที แม้จะไม่ผ่านหัวหน้างาน เหมียวก็แสดงจุดยืนชัดเจนไปกับ รปภ.​ถึงเรื่องที่ควรทำ เรื่องที่ถูกต้อง (ผมเข้าใจว่า หลังจากนั้น เหมียวคงรายงานให้เบื้องบนทราบ แต่อาจจะไม่ได้รับการตอบสนอง) แม้จะถูกกกล่าวหาว่าเป็น “นกสองหัว”​หรือ “หนอนบ่อนไส้​“ คำพูดแบบนี้ ไม่ได้ทำให้เหมียวต้องกลืนเลือดมาเป็นพวกเดียวกับผู้ทำไม่ถูกต้อง และ ผมเชื่อว่า เหมียวทำถูกแล้ว

กิจกรรมบริษัท จะพาไปไหน บ้านคนชราฮาเฮ บุรีรัมย์ หรือ กระทั่งทำขนมจีนไตปลาเลี้ยงคนงาน เหมียวทำหมด ทำไม่ได้ ล้างจาน ล้างถ้วย ก็ยังดี ไม่เคยห่วงสวยห่วงหน้าที่

วันดีคืนร้าย แม่บ้านออกไปซะงั้น เหมียวซึ่งเดินทางมาทำงานแต่เช้าทุกวัน ก็รับอาสาดำเนินการให้ ทั้งกวาด ถู เช็ด ล้างห้องน้ำ ทำแบบพระสังข์ทอง ตอนไม่มีคนเห็น กว่าคนจะมาทำงานกัน แปดโมงครึ่ง ก็เหมือนสนง.ไม่เคยมีคนทำสกปรก ก็ขี้เยี่ยว กันตามปรกติไป สิ่งที่เหมียวทำนี้ เหมียวไม่เคยบอก หรือ บ่นให้ใครฟัง ผมเห็นกับตาเอง เมื่อลงมาจากจังหวัดตาก มาที่ ลลก.​และ ยังถามว่า “ทำไปทำไม คนอื่นเขาเลยไม่หาคนมาแทน”​ เหมียวตอบว่า “ช่วยได้ ก็ช่วยกันพี่เต้ย หนูทำได้…..” นั่นคือ ใจของเหมียว

ช่วงหลัง ผมอยู่ไทรทัน ผมจะเจอเหมียวบ้าง งานวาน งานอาสา เอาข้าวสาร ป้าย ฯลฯ ไปร่วมห่อ ในกิจการบริษัท ไปบริจาค ไปช่วยเหลือคน บางคนอาจจะมองเหมือน หรือ เหมียวไม่มีงาน ? จึงมาช่วยได้บ่อย ๆ (แบบคนอื่น ๆ พูดว่า ช่วยไม่ได้หรอก งานเยอะ ไม่ว่าง) ผมไม่คิดอย่างนั้นหรอก เพราะ เหมียวจะพูดแบบนั้น ก็ทำได้ แต่ด้วย”หัวใจ” แล้ว การช่วยเหลือ การเป็นมวยรอง การอาสา นั่นคือ สิ่งที่มวยรองต้องทำ เพื่อให้ทุกคนรัก และ เอ็นดู และ เพื่องานที่รักของตนเองด้วย เช่นเคย เหมียวไม่เคยบ่นอะไร เรื่องนี้

จริง ๆ แล้ว ผมไม่ค่อยได้เจอเหมียวเลย แม้บ้านเราอยู่ใกล้กัน ที่คลองสอง เคยฝากเอกสารหากัน ต้องไปรับส่งเอกสารที่ใต้ตึก เหมียวก็ทำให้ ไม่เคยปฏิเสธ ภาพเหมียว ที่ทำงานตลอดเวลา แม้ผมจะไม่ได้เป็นคนอนุมัติการลาของเหมียว ผมก็เคยทราบว่า เหมียวไม่มีลาเลอะเทอะ ลาขี้แตก ลาหวยแดก หรือ อื่น ๆ ใด ๆ นอกจาก “ลากลับบ้าน” และไม่ใช่บ่อย ปีละครั้งเท่านั้น ที่จะต้องอัดรถปลากระป๋องลงไปพัทลุง รถติด ๆ ใจอยู่ที่บ้าน กลับมาก็ตามเวลาบริษัท ไม่มีหัวหมอ รถติด สะพานขาด บ้านถูกยึด ฯลฯ นั่นคือ เหมียว

วันหยุดทั่วไป เหมียวพาหลานไปดูหนัง ไปกินหมูกะทะ (เชื่อว่า เหมียวจ่าย หลานจะไม่มีเงินได้งัย) นั่นคือ ความสุขเล็ก ๆ ของคนไกลบ้าน เท่าที่พึงจะทำได้

ความเคลื่อนไหว ที่ผมเห็นเหมียวอีกอย่าง คือ การอับไทม์ไลน์ ไม่ได้อัพเรื่องตัวเอง …​แต่คือ ลูกทั้งสอง แก้วตาดวงใจ ของเหมียว ไม่ว่าจะไปประกวดลีดเดอร์ หรือ ทำกิจกรรมอะไร เหมียวจะมีความสุข ที่ทำให้กับน้องทั้งสองนี้ ไม่เห็นกับเหน็ดเหนื่อย นั่นคือ ความสุขของแม่ ที่ได้พบลูกแค่ปีละครั้งเท่านั้น ปีละครั้ง มันยาวนานมากสำหรับคนที่ต้องทำทุกอย่างเพื่อลูก……​

เมื่อชีวิต กำหนดให้เราพบเจอกันในงาน แค่เท่านี้ ผมเองก็รู้สึกใจหาย กับช่าวในวันนี้ แต่ที่ผมไม่แปลกใจ คือ ความเข้มแข็งของเหมียว ที่บอกว่า กลับบ้านก่อนพี่เต้ย แล้วว่ากัน …. เหมียวยังเป็นนักสู้ สู้เพื่อลูก และผมขอยืนยันตรงนี้ หากเหมียวมองย้อนไปในเวลาของตัวเอง สามปีที่ผ่านมา เหมียวได้อะไรมาเยอะมาก ๆ (ไม่ใช่เงิน) เพราะ การที่เหมียวเป็นมวยรอง เป็นผู้ที่ต้องสู้ชีวิต และ สิ่งนั้น มันจะอยู่กับเหมียวไปตลอด โอกาสจะมาหาผู้ที่ไขว่คว้ามันไว้ ผมรับรองว่า ความสามารถที่เหมียวมี ตอนนี้ มากเกินกว่า ค้าจ้างที่ที่นี่ว่าจ้างเหมียวเอาไว้ด้วยซ้ำ และ เทียบไม่ได้เลยกับการรู้สึกมีส่วนร่วม หวงแหน และ ดูแลทุกอย่างของบริษัท ฯ

เมื่อฟ้าได้ลิขิตแล้ว ผมขอรับรองได้เลยว่า ก่อนจะรู้จักกัน เหมียวอาจจะดูธรรมดา แต่หากได้มารู้จักกันเสียแล้ว เหมียวไม่ธรรมดาแน่นอน และ เทียบกันปอนด์ต่อปอนด์ ผมเลือกเหมียวแน่นอนเช่นกันครับ ผมอยากจะให้คนอื่นเห็นสิ่งนี้จากเหมียวเช่นกันนะ

ขอให้เหมียวโชคดี เมื่อประตูบานหนึ่งปิดลง มันจะเป็นการเปิดประตูอีกบานหนึ่งของชีวิตเสมอ
ขอบคุณที่ร่วมดูแลกันมา
อดิศร ๒๔ ธค. ๖๔

เหมียวขอบคุณทีมงาน

ขอบคุณพี่เต้ยนะที่ให้โอการนู๋ได้มาทำงานที่บริษัทไทรทันจากเด็กที่ไม่รู้จักเครื่องมืออะไรสักอย่างและขอบคุณมาดามเยาะน์ที่คอยสอนคอยบอกทุกเรื่องขอบคุณจากใจจริงๆๆ

เพื่อนตั้ม แต่งกลอนให้ด้วย

คนแปลกหน้ามาที่นี่หลายปีก่อน
รับคำสอนรับสุขรับทุกข์ถ้วน
ใครทำดีทำร้ายใจประมวล
จำแต่ส่วนดีไว้อภัยกัน

บัดนี้คนคุ้นหน้าจะลาลับ
วันใดกลับยังมิอาจจะคาดฝัน
จากไปตามวิถีแห่งชีวัน
ใช่หมายมั่นลาจากเพราะอยากไป

โชคดีครับพี่เหมียว

ปิดท้ายกลอน

เหมียวพัดลุง มุ่งงาน ไม่นานหรอก
ใครจะบอก สอนสั่ง ฟังเพื่อรู้
ผิดไม่ว่า ขอให้บอก ถือเป็นครู
ค่อยเรียนรู้ สู้คนได้ ไม่อายใคร

กาลผ่าน ไม่นาน เหตุการณ์เปลี่ยน
ใครใฝ่เรียน เพียรงาน เป็นการผิด
ต้องคิดสั้น ไม่รั้นหัว มั่วนิด ๆ
ไม่ต้องคิด ขานรับนาย ไม่ตายเอย

ถ่ายรูปในวันสุดท้ายของการทำงาน วันที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า พรุ่งนี้ จะไม่ต้องมาทำงานแล้ว
เลี้ยงอำลาเหมียว ที่ย่างเนย ลำลูกกา แถวบ้านเรา โอกาสมี ก็คงพบกันใหม่นะเหมียว ขอให้โชคดี

เล่าเรื่องแต่งงาน … เลือกเขย เลือกสะใภ้ (“อาสำ” เขียน) 20200920

เล่าเรื่องแต่งงาน … เลือกเขย เลือกสะใภ้ (“อาสำ” เขียน)

ต่วยตูนพ็อคเก็ตบุค กันยายน 2563

สมัยก่อนเรื่องแต่งงานของคนบ้านอาสำวุ่นวายมาก กว่าจะได้แต่งเล่นเอาเหนื่อย เพราะมีเรื่องให้ตรวจสอบกันมากมาย ยิ่งถ้าต้องไปดองกับบ้านที่เป็น “เยาฉินโหลว” คนมีกะตังค์จะยิ่งตรวจสอบกันยิบขึ้นไปอีก

และถ้าปู่ ย่ำ ตา ยาย ยังอยู่จะยิ่งวุ่นหนักมากขึ้น คือมีคนรู้มากอยู่กันหลายคนเลยไม่รู้จะฟังใคร แถมคนแก่แล้วมักจะไม่ยอมกัน ดังนั้นเรื่องปกติของเราคือ พอเวลามีคนในบ้านจะแต่งงานทีไร เป็นเกิดเหตุทะเลาะกันเสียหลายยก แล้วแต่ว่าคนที่จะมาดองกับเรานั้นรวยขนาดไหน เด็กอย่างอาสำเลยสบโอกาสนั่งฟังผู้ใหญ่เขานินทา ฝ่ายตรงข้าม” กันตาปริบๆ สนุกกว่าละครน้ำเน่าเสียอีก วันนี้เถียงกันแล้วอีกหลายวันจะมีญาติตัวดี นำข้อมูลมาให้ผู้ใหญ่ตรวจสอบ เพราะการตรวจสอบมีหลาย categories หาสะใภ้เขาตรวจสอบแบบหนึ่ง หาลูกเขยตรวจสอบกันอีกแบบหนึ่ง

เอาเรื่องเขยก่อนแล้วกัน คนจีนมีลูกสาวเขาให้แต่งออก คือแต่งออกไปอยู่บ้านฝ่ายชายกลายเป็นคนนอกไป คนสมัยยายจึงไม่ยินยอมให้ลูกสาวกลับเข้ามาบ้านอีกหลังแต่งงาน มาเที่ยวมาเยี่ยมเยียนกันได้ แต่ต้องมีเหตุผล เช่นวันตรุษสารทหรือเยี่ยมไข้ ไม่ใช่อยู่ว่างๆ อุ้มลูกกลับ านั่งคุยกับพ่อแม่ที่บ้าน หรือเบื่อๆ อยากๆ ขอลากลับไปนอนบ้านพ่อแม่สักสี่ซ้าห้าวัน อาผ่อ นั้นถือนัก เวลาหลานสะใภ้มาเยี่ยมนั่งคุยได้ไม่ทันกันร้อน แกจะนั่งไม่ติดเก้าอี้รีบไล่ให้กลับบ้าน ให้รีบกลับไปหุงข้าวนึ่งปลา เป็นสะใภ้ต้องรับใช้บ้านผัว ไปไหนมาไหนต้องคิดถึงทางฝั่งผัวเป็นหลัก พ่อผัวแม่ผัวจะรอกินข้าว ทางบ้านรอคนหุงข้าวอะไรประมาณนี้ ฟังดูลำบากแต่มี authority ยิ่ง

ถ้าเป็นสะใภ้ใหญ่จะได้ถือกุญแจพวงใหญ่ คือถือกุญแจของบ้านทั้งหลัง ตรงนี้สำคัญมากเพราะหมายความว่ามีอำนาจทางการเงินและการว่ากล่าว อย่างไรก็ดีอำนาจมาพร้อมกับการรับผิดชอบ ยิ่งถ้าแม่ผัวเสียชีวิตไปแล้ว พี่สะใภ้คนโตกลายเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในบ้าน สั่งซ้ายหันขวาหันได้ยกเว้นเรื่องค้าขายสะใภ้ห้ามยุ่งเด็ดขาดและบ่อยครั้งที่สะใภ้ใหญ่ต้องเสียสละเพื่อน้อง ๆ ของผัว ตัวเองไม่มีกินไม่มีใช้แต่ต้องให้คนอื่นในครอบครัวมีกิน ด้วยเหตุนี้สะใภ้ใหญ่จึงต้องแกร่งมาก และสุดท้ายยังเข้าไปมีบทบาทในกงสีผ่านทางผัวด้วย เพราะผัวทำพลาดจะลำบากกันทั้งหมด ถึงกงสีจะไม่ยอมให้พวกผมยาวเข้าไปยุ่มย่าม แต่สุดท้ายก็ต้องถึงมือเมียตามตำราที่ว่าเบื้องหลังความสำเร็จของผู้ชาย มันต้องมีผู้หญิงหนุนอยู่แล้ว อีกเรื่องที่ยังถือปฏิบัติมาจนทุกวันนี้ เวลาทะเลาะกับผัวห้ามหอบผ้ากลับมาบ้านพ่อแม่ หรือหอบผ้าออกจากบ้านไปอยู่ที่อื่น ซึ่งเขียนไปหลายรอบคุยไปหลายเวทีแล้ว เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มากด้วยเหตุผลว่า เกิดผัวไม่มาตามจะทำอย่างไร เมื่อสี่สิบปีก่อน เพื่อนเคยหอบผ้ากลับไปบ้านพ่อแม่ โดนด่าซะอาน โชคดีว่าสุดท้ายผัวมารับกลับบ้านไป ไม่งั้นยังนึกไม่ออกว่าจะทำกันยังไง ไม่กี่วันมานี้เองมีลูกสาวเพื่อนคนหนึ่ง โมโหผัวเลยหอบผ้าไปอยู่คอนโด เพื่อนเดือดร้อนมากโทรมาเล่าให้ฟัง อาสำเลย “โฉ่วส้างซาย” เอะอะเอาว่าทำไมไม่รู้จักสอนลูก คำว่า “โฉ่ว” แปลว่า เสียงดังหนวกหู คำว่า ”ส้างซาย” นี่อาสำเป็นกึ่งๆ สร้อยคำแปลว่า เต็มไปด้วย รวมแล้วหมายถึงพูดจาเอะอะมะเทิ่ง

พอเอะอะไปแล้วเพื่อนก็เอะอะกลับมาว่าสอนแล้วมันฟังเสียที่ไหนล่ะ ยุดประชาธิปไตยใครไปสอนมันได้ นี่รอมาหลายวันผัวยังไม่ไปรับ กลุ้มจริง ๆ สุดท้ายต้องหอบผ้ากลับไปเองเพราะคิดถึงลูกสาวอายุ ๒ ขวบ อาสำน่ะตบเข่าฉาด นี่แหละ นี่แหละ ทำแบบนี้เสียฟอร์มเป็นบ้า ต่อไปจะกลายเป็นเบี้ยรองบ่อนผัวเท่านั้นเอง ไห้หย่า ไห้หย่า

ร่ายมายาวมากเพื่อให้เห็นภาพว่า ลูกสาวแต่งออกไปแล้วคือไปเลย จึงต้องตรวจสอบเขยให้ชัดเจนเสียก่อน แล้วเขาตรวจสอบอะไรกันหรือ อาสำรู้สึกว่า เรื่องใหญ่อันดับหนึ่งที่ผู้ใหญ่สมัยนั้นกังวล คือรูปร่างหน้าตาของคนที่จะมาเป็นเขย ซึ่งไม่ได้หมายถึงความหล่อ แต่มองที่ “หยั่นส่อง” คือ นรสักษณ์ เวลานั่งฟังยายคุยกับเพื่อนจะได้ยินเสมอว่า เออ ตาคนนี้รูปร่างไม่ดีเพราะตูดปอด แสดงว่ามีเงินเท่าไรก็เก็บไม่อยู่ บางคนก็คางสั้นไม่ดีอีก เพราะแก่แล้วจะลำบาก เงินทองที่หาได้จะหมดลง ถ้าเอวยาวจะเป็นคนขี้เกียจ ส่วนคนที่หน้าตาดีคือพวก “ฟุดเหาต่ายหมิ่น” ปากกว้างหน้าใหญ่ เชื่อกันว่าเป็นคนโอ่อ่าผ่าเผยมีกินมีใช้ คิ้วหนาคือคนมีอำนาจ และอีกมากมาย ขืนจาระไนหมดจะกลายเป็น “ฟ่งโสยซิ่นส้าง” คือ หมอดู ซึ่งน่ากลัวพิลึก

ปัญหาต่อมาคือเรื่องกินน้ำใต้ศอก ผู้ใหญ่จะสำรวจก่อนว่าไอ้หนุ่มนี่มันมีเมียยัง ที่เมืองไทยไม่มีเมียแต่อาจมีเมียอยู่เมืองจีน ถ้าแบบนั้นต้องคุยกันให้รู้เรื่องว่าเมียจีนจะมาเมืองไทยไหม มีลูกกันหรือยัง มีกี่คน ครอบครัวเมียจีนเป็นอย่างไร โดยทั่วไปอาสำเห็นเขายอมรับได้เรื่องเมียที่เมืองจีน เพราะสมัยก่อนนั้นผู้หญิงจีนไม่เดินทางออกนอกประเทศ ด้วยเหตุผลทางประเพณีเรื่องความกตัญญู และยังติดระเบียบของทางการ เพราะจริง ๆแล้วการเดินทางหนีออกจากประเกศจีนนี่ผิดกฎหมายทั้งชายหญิง ถือเป็นคนทรยศต่อชาติ อันนี้คือเหตุปัจจัยทางราชการ ส่วนด้านประเพณีคือผู้หญิงแต่งงานแล้วต้องอยู่ดูแลครอบครัวผัว ยังผลให้อพยพไปไหนไม่ได้ เราจึงเห็นผู้ชายจีนจำนวนมากอพยพออกจากบ้านเกิดเพียงลำพัง และก่อนเดินทางไกลจะถือเป็นประเพณีเลยว่า ต้องมีเมียมีลูกทิ้งไว้ที่บ้านก่อน เพื่อจะได้มีคนดูแลพ่อแม่ที่แก่เฒ่า ดูแลเรื่องหลังของตระกูล เช่น เซ่นไหว้บรรพบุรุษ มีลูกชายไว้สืบตระกูลและมีหลานชายไว้ถือกระถางธูปเวลาปู่เสียชีวิต ผู้ชายจีนอพยพสมัยก่อนจึงมีเมียสองคน คือเมียที่เมืองจีนบ้านเกิดและเมียที่เป็นคนท้องถิ่นในประเทศที่ตนอพยพไป นั่นคือหนึ่งในเหตุผลที่คนจีนในไทยจำนวนไม่น้อย พยายามส่งเงินกลับไปให้ครอบครัวที่เมืองจีน เพื่อช่วยเหลือลูกเมียทางนั้น นั่นคือที่สุดที่เขาทำได้แค่นั้นเอง แต่ลูกหลานทางเมืองไทยไม่เข้าใจเพราะพ่อไม่เคยพูด แถมแม่ยิ่งไม่อยากเล่าว่าพ่อยังมีอีกบ้านอยู่ทางนั้น

อีกเรื่องต่อเนื่องจากเมียเมืองจีนคืออาสำได้เห็นว่า เวลาไหว้บรรพบุรุษเนื่องในเทศกาลต่าง ๆ เช่นวันตรุษสารท ยายจะหยิบเก้าอี้เปล่ามาตัวหนึ่ง มาตั้งไว้ตรงโต๊ะไหว้เจ้า ตอนเป็นเด็กกลัวมากเพราะนึกไม่ออกว่าเอาไว้ให้ใครนั่ง แต่ใจนั้นตงิดว่าลงแบบนี่ผีแน่ ๆ ภายหลังผู้ใหญ่เล่าว่าเขาเชิญเมียที่เมืองจีนมาด้วย เราเป็นฝ่ายมาทีหลังต้องรู้จักมารยาท เขาเรียกว่า “เยาต่ายเยาไซ” คำว่า “เยา” แปลว่า มี ส่วน ต่าย กับ ไซ คือ ใหญ่ เล็ก ต่ายหมายถึง “ต่ายผอ” คือ เมียหลวง ส่วนไซคือ ไซผอ” หมายถึงเมียน้อย

เท่าที่จำได้ อาสำรู้สึกว่าผู้ใหญ่เขาไม่ค่อยให้ความสำคัญกับฐานะของว่าที่ลูกเขยมากเท่ากับอุปนิสัยใจคอแต่สงสัยว่าบ้านอาสำจะจนมากกว่า ถ้ารวยคงต้องให้ความสนใจกับฐานะของลูกเขย เอาว่าได้ยินยายพูดเสมอว่าคนฉลาดเลือกลูกเขย คนโง่เลือกครอบครัว “วุยก๋าน ก๋านโนยไซ อืมม์วุยก๋าน ก๋านก้าไต๋” คำว่า “วุย” คือ รู้ว่าจะทำอย่างไร ประมาณ to know how คำว่า “ก๋าน” คือ เลือก ส่วน “โนยไซ” คือ ลูกเขย และ “ก้าไต๋” คือ พื้นเพครอบครัว หรือฐานะทางบ้าน จากประสบการณ์ อาสำคิดว่าคนจีนเขามองว่าผู้ชายนั้น อุปนิสัยใจคอและบุคลิกภาพสำคัญที่สุด จนแค่ไหนแต่ถ้านิสัยขยันขันแข็งไม่ท้อถอยเรื่องทำมาหากิน ประกอบกับมีบุคลิกโอ่อ่าเด็ดเดี่ยวหรือใจถึง แบบนี้รับรองรวยแน่ ถือเป็นการเลือกที่ตัวบุคคลคือตัวลูกเขย แต่ถ้าเลือกพื้นเพฐานะมันยังไม่แน่ ไอ้เงินร้อยล้านพันล้านที่ติดมากับตัวหากไม่รู้จักต่อยอด ทำตัวขี้เกียจ หรือโง่ให้คนเขาปอกลอกหลอกลวง สุดท้ายก็ไร้ค่า

สิ่งที่คนโบราณไม่ได้มองคือความสัมพันธ์ฉันผัวเมีย แต่มองที่ความมั่นคงทางเศรษฐกิจมากกว่า เพราะคนยุคนั้นคำว่า “ไม่มีกิน” น่ากลัวกว่าความไม่รัก

อีกเรื่องที่ผู้ชายได้เปรียบกว่าผู้หญิงคือ ถึงพิกลพิการหรืออัปลักษณ์ ทางบ้านฝ่ายหญิงมักไม่รังเกียจ ขอให้หน่วยก้านดีเป็นใช้ได้ เคยมีญาติเขาแต่งงานกับคนใบ้แบบคลุมถุงชน เพราะผู้ใหญ่บอกว่าฝ่ายชายหากินเก่ง มีอนาคต แต่งแล้วก็เป็นจริง เพราะต่อมาเขาทำธุรกิจร่ำรวยมาก ลูกๆโชคดีตรงไม่เป็นใบ้ นี่อาสำแค่เล่าสู่กันฟังเป็นตัวอย่างนะ อ่านไปไม่ต้องนั่งทางในเถียงกับคนเขียน แต่เรื่องบุคลิกภาพกับนิสัยใจคอนั้นอาสำเห็นว่าสำคัญ คนโบราณบอกว่าเป็นผู้ชายต้องใจใหญ่ เคยมีญาติคนหนึ่งเขาเป็นคนจำพวกที่ผู้ใหญ่เอือมระอา เพราะเป็นคนที่ “สุ่นเถ่าแก้งไกว๋ สุ่นเมย์แก้งฉาก” แปลว่า ไปอยู่หัวเรือให้กลัวผี มายืนท้ายเรือก็กลัวโจร คำว่า “สุ่น” แปลว่า เรือ ส่วน “เถ่า”กับ “เมย์” คือ หัวกับหาง และแก้ง” แปลว่า กลัว

อาสำพบว่าวลีนี้จริงที่สุดเพราะพบเห็นกับตัวเองเลยทีเดียว สามีเพื่อนคนหนึ่งแกทำอะไรก็ไปไม่ถึงไหนไม่กล้าเสี่ยงอะไรเลย แถมไม่ค่อยกล้าออกหน้าไปพูดอะไรกับใครเขา อยากได้อะไรเป็นต้องให้เมียไปคุย จะซื้ออะไรกลัวแล้วกลัวอีก ซื้อที่ดินก็กลัวแสนกลัว กลัวคนขายเขาโกงเอา ทั้งที่เป็นเรื่องง่ายๆ เมียแกบ่นจนไม่รู้จะบ่นยังไง ยิ่งเรื่องหุ้นนี่ยิ่งวุ่นวาย ขึ้นไม่กี่สลึงรีบเทขาย ลงไม่กี่ตังค์ก็รีบขายอีก ไม่รู้ใจทำด้วยอะไร ทั้งที่มีความรู้ความสามารถมาก สุดท้ายก็ชีวิตแบบแกนๆ น่าจะรวยแต่ไม่รวยเพราะไอ้อาการกลัวหน้ากลัวหลังนี่แหละ คืออันนี้เมียเขาบ่นนะไม่ใช่อาสำบ่นเอง

บุคลิกหนึ่งที่คนจีนมีติดตัวคือ ใจนักพนัน ฉะนั้นคนบ้านอาสำเลยเห็นว่าผู้ชายต้องมีใจนักพนัน คนไม่เสี่ยงจะรวยได้อย่างไร คนจีนจึงชอบทำการค้าและชอบเล่นการพนัน เพราะการทำธุรกิจนั้นต้องมีใจของนักพนัน ไม่ได้ก็เสียไปเลย จะเอาแบบนั่งอยู่กลางลำเรือมองอะไรไม่เห็น สุดแท้แต่เรือจะพาไปนั้นคงไม่อดตาย แต่ไม่รวย

อีกวลีหนึ่งที่น่าสนใจคือผู้ใหญ่พูดกรอกหูเสมอว่าคนโง่นั้นหมดหนทางเยียวยาจริง ๆ เขาพูดกันว่ามีลูกเกเรดีกว่ามีลูกโง่ เพราะคนโง่มันสอนไม่ได้ สอนแล้วก็ยังโง่มองอะไรเจอแต่ปัญหา พวกเกเรนี่เขาใช้คำว่า “ป่ายก้า” คือ ล้างผลาญ หมายถึงลูกล้างผลาญเอาเงินไปลงทุนทำนั่นทำนี่ ได้บ้างเสียเยอะแต่มีโอกาสรวย ส่วนพวกโงนั้นสุดจะเข็น ทั้งหมดนี้เป็นการเลือกเขยแบบคร่าวๆ ที่ยืนอยู่บนความคิดดั้งเดิมสมัยเมื่อ ๕๐ – ๖๐ ปีก่อน หลายอย่างเปลี่ยนไปแต่ความจริงไม่เปลี่ยน ทุกวันนี้เวลาใครมาเข็นอาสำให้ไปช่วยดูเขย เรายังคงคุยกันเรื่องเดิม ๆเพราะลักษณะของคนไม่เปลี่ยน ไอ้ที่เปลี่ยนคือค่านิยมเท่านั้น คนโง่ คนรวย คนเก่ง ยังคงมีบุคลิกแบบเดิมอยู่วันยังค่ำ

ทีนี้หันมาดูการเลือกสะใภ้บ้าง ผู้ใหญ่สมัยก่อนเขาบอกว่าเลือกสะใภ้ต้องเอาคนสวยไว้ก่อน เพื่อที่ “เห่าต่อย” คือ ลูกหลาน ที่เกิดมาจะได้หน้าตาดี เป็นการจัดเลือกสายพันธุ์ที่แยบยล คำว่า “เห่า” แปลว่า หลัง เช่น “เห่าปิ่น” คือข้างหลัง ส่วนคำว่า “ต่อย” แปลว่า รุ่น หรือ generation เรื่องนี้อาสำพูดไว้บ่อยแล้วและพบว่าจริง บ้านไหนสะใภ้สวยบ้านนั้นลูกหลานจะสวยหล่อกัน คนจีนจึงนิยมเลือกสะใภ้สวยๆ แต่ความสวยของเขากะเราไม่เหมือนกัน ได้ยินผู้ใหญ่พูดใส่หูแต่เด็กว่า เด็กคนนั้นเด็กคนนี้จมูกบี้ แต่ผู้ใหญ่ยังพูดอีกว่าคนจมูกบี้จะได้เป็นคุณนาย พวกหน้าแป้นจมูกบี้ถือว่านรลักษณ์ดี หมอเสริมสวยฟังแล้วคงค้อนเอา อาสำมีแม่เพื่อนคนหนึ่งวาสนาดีมากหน้าแป้น จมูกบี้ ตัวท้วม ๆ ก้นใหญ่ จะว่าสวยก็ไม่ขนาดนั้นแต่ถูกต้องตามตำราที่สุด แต่งงานแล้วผัวรวยเอา รวยเอา ลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง เงินทองนับกันไม่หวาดไหว

อีกสิ่งที่ต่างกันระหว่างผู้หญิงและผู้ชายคือรอยบนใบหน้า สำหรับผู้ชายแล้วคนจีนจะห่วงมากว่าไม่ควรมีรอยแผล เพราะถือว่าเป็นการ “พอฉ่อย” คำว่า “ฉ่อย” แปลว่า โชค หรือ Luck ส่วน “พอ” แปลว่า ทำให้แตกเสียหาย อย่างเวลาผ่าฟืนเราใช้ว่า “พอฉ่าย” จริงเท็จอย่างไรอาสำก็เหลือจะพิจารณา แต่ได้เห็นของจริงว่ามีญาติคนหนึ่ง เขาหกล้มเกิดแผลเป็นตรงกลางหน้าผาก แม่เขาเดือดร้อนมากเพราะถือเป็นเรื่องใหญ่ในชีวิตลูก แต่ในเมื่อมันเกิดขึ้นแล้วไม่รู้จะทำอย่างไร ตลอดชีวิตแม่เขาได้แต่ติดค้างในใจเรื่องนี้มาก และญาติคนนี้มีโอกาสดี ๆในชีวิตมากมาย ได้งานดีมั่นคง แต่ชะตาชีวิตกลับวุ่นวายพลิกผันด้วยเหตุต่าง ๆนานา จนสุดท้ายอับจนและเป็นโรคร้าย ส่วนผู้หญิงเวลามีแผลบนใบหน้าเขาเชื่อว่าเป็น good omen อย่างพวกหลุมสิวนั่นผู้ใหญ่ก็ว่าจะมีเงินมีทอง

นี่แค่เล่าให้ฟัง ไม่ได้ให้เชื่อ

อีกเรื่องสำคัญที่อาสำได้ยินมาแต่เด็กคือ เวลาเลือกสะใภ้ต้องให้คนออกสืบว่าครอบครัวฝ่ายหญิงมีใครเป็นโรคจำพวกพันธุกรรมไหม ที่กลัวกันมากคือ โรคเรื้อนคนจีนเรียกว่า “ฝาดฟ่ง” คำว่า “ฝาด” แปลว่า อาการเห่อ หรืออืด หรือแพร่กระจาย เช่น เวลาหมักขนมปังให้แป้งขยายตัวเขาก็ใช้คำว่าฝาด ของเน่าเสียก็ใช้คำนี้ ส่วนคำว่า “ฟ่ง” คือ ลม หมายถึงแพร่กระจายไปทั่วร่าง เจ้าโรคเรื้อนนี้กลัวกันมากเพราะรักษาไม่หาย และติดต่อถึงลูกหลานเหลนทีเดียว ต่อมาคือ อาการทางสมองจำพวกปัญญาอ่อนและออทิสติก ที่คนจีนสมัยนั้นเข้าใจว่าเป็นบ้า เขาจะไม่ให้แต่งงานด้วยเพราะเป็นโรคที่ติดอยู่ในเชื้อสาย รักษาไม่ได้เอาเลย เจอเข้าแล้วถือว่าซวยสุดๆ แก้ไม่หลุดทั้งสายพันธุ์ แต่ยังมีความเชื่อที่แปลกมากเรื่องหนึ่ง ได้ยินผู้ใหญ่พูดๆกันว่าผู้ชายที่เป็นโรคเรื้อนและโรคหอบหืด ถ้าได้หลับนอนกับผู้หญิง โรคพวกนั้นจะหายไปแต่ไปติดทางผู้หญิงแทน เหมือนตัวตายตัวแทนแบบปอบผีฟ้าหรือกระสือ

เรื่องนี้อาสำได้ยินมาเยอะมากแต่ยังแปลกใจและสงสัยจนทุกวันนี้ เนื่องจากฟังดูไม่น่าเป็นไปได้เอาเลยเพราะไม่ถูกต้องตามหลักวิชาการ

นอกจากเรื่องโรคแล้ว หากบ้านไหนรวยหนักมากจะถึงขั้นว่า เมื่อเลือกผู้หญิงให้ลูกชายได้แล้ว ต้องขอพิสูจน์ก่อนว่าผู้หญิงคนนั้นตั้งท้องได้ ซึ่งเรื่องนี้พวกเจ้ายุโรปในสมัยหนึ่งเขาถือปฏิบัติกัน เวลาเจ้าหญิงจะแต่งงานกับเจ้าชาย ทางฝ่ายชายเขาขอพิสูจน์ว่า เธอจะตั้งท้องรัชทายาทให้ได้ จากนั้นค่อยแต่งตั้งให้เป็นราชินี ถือว่าเป็นการรับประกันความเสี่ยง ลดค่าใช้จ่าย และตัดความยุ่งยากเรื่องหย่าร้าง ส่วนคนจีนนั้นเคยได้ยินว่ามีทำแบบนี้เหมือนกันพูดเรื่องแต่งงานแล้วไม่จบง่ายจริง ๆ

พระคุณครู 20200830

ภาพที่คนอายุห้าหกสิบ (บอกให้กว้างเข้าไว้) ที่ไม่ได้ผ่านโรงเรียนโบสถ์ฝรั่งมาต้องคุ้นเคย และอาจจะมองว่าเป็นเรื่องธรรมดา
ครูคือ ผู้มีอำนาจอันศักดิ์สิทธิ์ และบางครั้งก็มอบไว้ที่หัวหน้าห้อง ให้จดชื่อ รายงาน ฯลฯ ส่วนการบริหารจัดการพฤติกรรมของศิษย์ สงวนไว้ที่ครูแต่ผู้เดียว
ห้องเรียนฝาไม้ กระดานดำ(เขียว) ผงชอล์ค แผนที่ประเทศไทย ถ้าหลังหน่อยก็ต้องมีป้ายยาว ๆ เอ ถึง แซด (ซรี….) ติดไว้ด้านบน ภาษาปะกิตคือของสูง ล้อเล่นไม่ได้….
นร.ชายผมเกรียนแหว่งมั่งกลมมั่ง ตามแต่ดีกรีของร้านตัดผมในตลาด เสื้อผ้าคละสี จากขาวไปเหลืองตุ่น ๆ กางเกงซื้อเผื่อโต ยาวเกินเข่าโดยไม่ต้องบังคับ เข็มขัดเจาะรูจากเล็กที่พันได้สองรอบเอว ใช้ยันบวชพระ ก็เจาะยังไม่สุด
นร.หญิงก็ทำนองเดียวกัน ตามแต่ว่าพี่น้องเรียนตามกันมากี่รุ่น เสื้อผ้าก็ตกทอดกันไป สไตล์มิกซ์แอนด์(ไม่)แมตทช์ ติดกิฟ มัดยางวง(ถุงแกง) หรือ เสยเหน็บเอาข้างหู รองเท้า ก็เอาเท่าที่ได้ ขอให้เดินได้พอ
วัดความไฮโซ ต้องดูตอนเข้าแถวแปดโมง มองได้เลย หัวจรดเท้า ทุกคนจะคล้าย ๆ กัน บางทีข้างบนสง่าแล้ว ลงไปถึงเท้า อ่ะโด่ ถุงเท้ามันรูดลงไปกรอมด้านล่าง ไอ้หนังยางเจ้ากรรมที่รัดไว้มันหลุด แต่พวกเราก็ไม่ถือสากันมันเรื่อง”ปรกติ”ที่พ่อแม่ส่งให้เรามาเรียน ไม่ได้มาเดินแฟชั่น ใครใส่คาร์สันสีขาวใสมาเป็นอันว่าเด่นที่สุด หรูหราหมาเห่ากันเลย (สามปี จะได้สักที)
ถ้าไม่ตั้งใจเรียน เราก็จะโดนเตือน เรียกชื่อ… ไอ้พวกนี้มักนั่งหลังห้อง ครูเรียกบ่อยยิ่งป็อบ…. เป็นที่นิยมของเพื่อนและน่ารังเกียจของสาวๆ (เด็กที่คิดว่าตัวเองเป็นสาว) หนักเข้าครูก็จะทำโทษให้อายเอาบ้าง ยืนเรียน กางแขน ออกมาหน้าห้อง (ให้เขิน) ร้องเพลงให้เพื่อนฟัง นี่เอาแนวให้รู้่าถ้าไม่อยากโดนแบบนี้อย่าทำอีก
หนักเข้า ก็ต้องใช้อาวุธพิสัยไกล ชอล์คบิน แปรงลบกระดานบิน ให้คอยหลบ และเก็บเอาไปคืนหน้าห้อง เท่านี้ก็หัวเราะกันคิกคัก ๆ
แต่ถ้าไปทำผิดร้ายแรง เช่น ขโมยของ เล่นการพนัน หรือ หาเรื่องวิวาทชกต่อย แบบนี้ ต้องชุดใหญ่ ตีก้น ตีมือ แปรงเคาะจีบมือ ใช้ไม้บรรทัด ไม้เรียส ไม้ทีก็มี แล้วแต่จังหวะและโอกาส คนโดนตีก็รู้ว่าทำผิด คนตีก็รู้ว่าจะให้สำนึก เวลาเอาไม้เรียวทาบตูดเช็คระยะนั่น จะมีการสวิงโค้งไปตามวงสวิงของไม้ในมือครู ใครแอ่นได้โค้งมากเชื่อว่าเป็นการซับแรงตกกระทบลดความเจ็บแสบของตูดได้เป็นอย่างดี (ไอ้พวกนี้ภายหลังเก่งฟิสิกส์ไปหลายคน)
ครูที่ดังๆ ทางด้านทำโทษเป็นโจทย์กับนักเรียนจะมีชื่อลือนามไปทังเรียน และได้รับเกียรติจากเด็กๆ. ด้วยการเอาคำนำหน้าว่า”ครู”ออกเรียกเอ่ยถึงแบบเพื่อน เช่น …. เฮ้ย ผมยาวแบบนี้เด๋วก็เจออภิเดชย์เล่นเอาหรอก…. (สนิทกัน) บางทีลืมตัวเวลาไปรายงานครูอื่นๆ เรื่องที่เกี่ยวกับครูคนนี้ เผลอเรียกแบบเพื่อนไปก็มี
ทั้งหมดทั้งปวงทุกคนก็เรียนจบออกมาสมบูรณ์ ทั้งร่างกายและจิตใจ เป็นใหญ่เป็นโตเจ้าคนนายคนก็มาก ติดคุกติดตะรางก็คงมีบ้างแต่ไม่ได้ยินข่าว แต่ไม่เห็นใครสูญเสียความเป็นมนุษย์ เสียจริต หรือ จิตตกไปตลอดชีวิต เพราะโรงเรียนและครูขัดเกลาเลยสักคน
ถ้าภาพนี้เป็นสมัยนี้ ออกข่าวทุกช่อง โซเชียล กมธ. สหประชาชาติ สมาคมผู้ปกครองโลก อีจัน กรรชัย ลีน่าจัง เผลอ ๆปวีณาต้องมาร่วมด้วย
เห็นภาพแล้วนึกถึงความหลังเท่านั้น
Cr เจ้าของภาพและข้อความIMG_1307

20200826 การจากลาของนิคม

๙ สิงหาคม ๒๕๖๒ นิคมปรากฏตัวที่สำนักงานลำลูกกา ในชุดเสื้อโปโล Clough Thaiand รุ่น Limited ของ Fabrication Workshop อันโรยราไปแล้วหลายปี
นิคมมาร่วมงานกับ STREGA (ชื่อเดิม) ประจำงานภาคเหนือ วันที่มาเริ่มงานเลยได้เจอกัน
ถามนิคมว่า ทำไมยังใส่เสื้อตัวนี้อีก มันนาน(เก่า)แล้วนะ ?
นิคมตอบว่า “ใส่แล้วมันมีพลังครับช่าง….”
จากวันนั้น จนถึงวันนี้ ก็ไม่เคยได้พบเจอ พูดคุยกับนิคมอีกเลย…. ฟังห่าง ๆ ว่ายังอยู่ในงานของบริษัทเท่านั้น
เช้าตรู่วันนี้ เสียงโทรศัพท์ดัง…​แสดงชื่อนิคม ฟังสักสองสามกรี๊ง เพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้โทรผิด
รับสาย…. “ว่าไงนิคม?”
นิคมโทรมาบอกลา …..ช่างครับ ผมจะหมดสัญญาแล้วครับ ปลายเดือนนี้ ผมกำลังทำงานอยู่ตรง…… จบนี่ก็หมดสัญญาพอดีครับ เลยถือโอกาสลาช่างเลย
เหรอ ๆ แล้วงัย ไปไหนต่อไหม หรืองัย ?
ยังไม่รู้เลยครับ ผมโทรมาลาช่างครับ ขอบคุณช่างมากนะครับ..
เฮ่ย ขอบคุณอะไร มาช่วยงานกันก็ดีแล้ว ได้สิ่งใหม่ ๆ ไปเยอะไหม ?
ได้หลายเรื่องอยู่ครับ… นิคมตอบแบบถ่อมตัว
แล้วก็สนทนากันอีกเล็กน้อย ก่อนวางสายไป
ย้อนไปสมัยงาน Fabrication อันเกรียงไกร หากต้องเลือกทหาร เลือกขุนพล
นิคม คือ หนึ่งในนั้นในระดับต้น ๆ ทักษะ ความสามารถ ความเข้าใจ ความเอาใจใส่ และ การเข้าได้กับทุกๆ คน
ส่งผลให้ผลลัพธ์ของงาน ได้ดังเป้าหมาย
ที่นิคมจากทีมเดิมออกมาได้ ก็เพราะงานมันหมดกันไป เลยต้องแยกย้ายกัน ไม่อย่างนั้น กาวตาตุ๊กแกเรียกพี่แกะมาไม่ออกแน่นอน (มีคนเคือง)
ทีมใด ได้นิคมไว้ข้างกาย เจ้านาย นอนหลับสบายแน่ ไม่ต้องหน้าผากเน่าเพราะก่ายหน้าผากจนหนองขึ้น
ของมีค่า ค่าของมันอยู่ที่ตัวมันเอง ไม่เกี่ยวกับผู้ครอบครอง
มีของดี ใช้ไม่เป็น ก็เหมือนถือไอโฟนรุ่น ๓๓๑๐
ผมเชือว่า ผู้มีความสามารถ “ชื่อ”มันจะขายคุณเอง ไม่ต้องเร่โฆษณาป่าวประกาศสรรพคุณตัวเองอย่างรถขายน้ำปลา
การสิ้นสุดของสิ่งหนึ่ง จะเปิดไปสู่อีกสิ่งหนึ่งเสมอ
ขอให้นิคมจงประสบโชคชะตาที่ดีต่อไป พักผ่อนสักนิด จะมีคนสะกิดเอง…
จริง ๆ ให้ดิ้นตาย
๒๖ สค. ๖๓(วันพระ … ไม่ได้มีหนเดียว)
IMG_0852

ทีมอเวนเจอรส์ 20200808

** เจอโพสต์ไว้ในเฟซบุค ยังพอทันสมัย **

67883849_2505156339568029_351759457924939776_o
สล่าน้อยทำงานหาเงินขุดประสบการณ์ใหม่ ๆ ได้เห็นว่า การ”จัดทีม”งานทำงานนั้น ใครเป็น”ทีมเอ” มันช่างเทห์ และ ทำให้ทีมอื่น ๆ เหมือนคนละดิวิชั่น ประมาณเด็กห้องคิงส์ ควีน แหม่ม ดอกจิกประมาณนั้น
แต่ละกล่องของชื่อ และตำแหน่ง อัดแน่นไปด้วย เทพจุติมากเกิดทั้งนั้น ต่อให้ไม่มีกล่องจะใส่แล้ว ก็สามารถ”อุปโลก”ตำแหน่ง”เงา”ขึ้นมาได้ แล้วใส่ชื่อลงไป ก็เครดิตหัวหน้าทีมดีเสียอย่าง จะพูด พ่น ยังไง ก็มีคนรับฟัง…. คนละดิวิชั่น ไม่ต้องมาเสนออะไร คุณมัน”ไม่เข้าใจ”หรอก…

เคยมีหัวหน้าที่เคารพท่านหนึ่ง ให้ความเห็นการ”จัดทีม”แบบนี้ว่า มันไม่ใช่เรื่องปรกติของการ”บริหาร”งาน มันบิดเบือนกฏของธรรมชาติ เราก็ขอเผือกต่อ เพื่อรับฟังแง่คิดและ มุมมองที่จะมีประโยชน์ต่อชีวิตของเรา ท่านก็ให้อรรถาธิบายว่า มองได้สองมุม จากมุมของ”หัวหน้า” คุณจะไม่ได้สร้างใครอีกแล้ว คุณเลือกคนที่เขาทำงานให้คุณได้อย่างรู้มือรู้ใจมาอยู่ด้วย ดูหนึ่งเหมือนจะดี คือ ได้ทำงานเร็ว รู้ใจ ถูกใจ และ เหมือนเป็นการปูนบำเหน็จทั้งเงิน ความก้าวหน้า เมื่อเทียบกับให้ไปกระเด็นอยู่กับทีมไร้เกรดอื่น ๆ (ซึ่งมักจะเลือกทีมไม่ได้) ตัวไปไหน เหมือนกระสือมีแต่หัวและลำไส้ ต้องลากพากันตาม ๆมา แต่…. มันทำให้”ทักษะ”ของการเป็นผู้นำ การแก้ปัญหา การจัดการ ของคุณนั้นลดน้อยถอยลง ประมาณ พี่ไม่ต้องน้องทำเอง… และทักษะพวกนี้ เมื่อไม่ค่อยได้ใช้ มันก็จะลดน้อยถอยลงไปเรื่อย ๆ
ส่วน มุมมองจากลูกทีมนั้นก็เช่นกัน คุณรู้สึกสบาย นายหนุนหลัง ก้าวหน้า(พรวด ๆ ) ทำงานได้ถูกใจเจ้านายเพราะรู้มือกัน ได้ยินเสียงตดยังรู้เลยว่านายกินอะไรมาเมื่อเช้า แต่… เช่นกัน การที่คุณเสมือนอยู่ใน”กะลาแลนด์” คนเดิม ๆ นิสัยเดิม ๆ (สันดานอาจจะไม่เหมือนกัน แต่นิสัยต้องคล้าย ๆ กัน) ขั้นตอนเดิม ๆ การ”พัฒนา” หรือ “แก้ปัญหา” หรือ “การปรับตัว” การสอนงาน งานรับงาน ฯลฯ ซึ่งล้วนเป็นกิจกรรมที่ทำให้เกิดการเรียนรู้ มัน”อยุ่กับที่” และ ในระยะยาวแล้ว team member เหล่านี้ จะ”แข็ง” ทางด้านเดียว หากปล่อยหลุดออกจากกะลาไปวันใดวันหนึ่ง จะปรับตัวได้ยาก และ เหมือนกับว่า ชีวิตนี้ เขาทำงานเพียงผู้เดียวมาตลอด ประหนึ่งเอาหมากรงไปปล่อยวัดบ้านนอก ให้เจอหมาจร และ อาหารที่ต้องแก่งแย่ง….

หลังจากนั้นหลาย ๆ ปี สล่าน้อยเติบใหญ่ และเฝ้าสังเกตความเป็นไปของทีมห้องคิงส์ทั้งหลายแหล่ รวมทั้งพวกห้องดอกจิกใบโพธ์ และมันก็เป็นไปตามที่ผู้ใหญ่ท่านนั้นได้กล่าวไว้จริง ๆ

เด็กห้องคิงส์ที่ผยองในวันก่อนความก้าวหน้าย่ำอยู่กับที่ บางคนถอยหลัง ที่รับไม่ได้ ก็เลิกออกจากยุทธภพไปก็มี แต่ยังคงมีความทนงความสำเร็จในกาลก่อนแบบเล่าที่ไหน น้ำลายท่วม (ไม่มีคนฟัง) ส่วนเด็กทีมดอกจิกนั้น ก้าวหน้า สามารถสร้างทีม รวมคนจากที่ต่าง ๆ สอนงาน เทคนิค (ที่ตัวเองเรียนรู้มาทั้งชีวิต ทุกประสบการณ์)ให้กับเด็กใหม่ ๆ ได้ และ”นำ”ทางลูกทีมของตนเองไปในทิศทางที่จะประสบความสำเร็จไปด้วยกันได้

สล่าน้อยได้เรียนรู้ว่าการจัดห้องคิงส์ หรือ ดอกจิกนั้น ล้วนดีและด้อยผสม ๆ กันไป แต่ที่แน่นอนที่สุดก็คือว่า “คนจัดทัพ”นั้นต้องเป็นผู้สำคัญและมองกาญน์(การ)ไกลไปถึงฝั่งพม่าโน่น จะมามองแค่พระรามสอง แม่กลอง สามบาทห้าสิบไม่ได้ เพื่อที่จะ”เห็น”สิ่งที่ลูกทีมไม่แม้จะได้กลิ่น และ ให้”แนวทาง”ที่”ชัดเจน” ได้ว่า เมื่อกลิ่นมาจะเป็นอย่างไร เมื่อภาพปรากฏมาจะเห็นอะไร และ เมื่อภาพลับไปแล้ว อะไรจะเกิดขึ้น และ “ทีมเรา”จะเป็นอย่างไร องคายพใด ๆ ในใต้หล้า หากมี”แม่ทัพ”เยี่ยงนั้นแล้ว ปล่อยให้ไปเฝ้าประตูค่าย ตะพุ่นหญ้าช้าง ก็นับว่าน่าอนาถนัก

โจโฉ เป็นหนึ่งในสุดยอดขุนพล ด้วยทักษะที่เยี่ยมยอดของเขา ในเรื่อง
“ดูคนออก บอกคนได้ ใช้คนเป็น” และแม้เขาจะไม่ใช่ขุนนางที่จงรักภักดีนัก แต่การมอบหมายศึกใดไปให้เขาดูแลจะมีแต่ความเกรียงไกร (เว้น red cliff แพ้ก็แพ้อย่างยิ่งใหญ่โลกจำไปเลย)

“กล่องข้าว” 20200710

“กล่องข้าว” อับข้าวอลูมิเนียม แข็งแรงช้างเหยียบได้ไม่บุบ มีหูล็อคสามจุด ด้านบนสองจุด ด้านล่างหนึ่งจุด เปิดมาข้างในจะมีถ้วยสี่เหลี่ยมอลูมิเนียมเช่นกันเพื่อใส่กับข้าว ไว้ทางด้านบนของกล่อง พอปิดฝาลงมามันก็จะล็อคเข้าตำแหน่งพอดี ส่วนพื้นที่ที่เหลือก็ใส่ข้าวสวยร้อน ๆ ลงไป กล่องข้าวที่ตักไว้ใหม่ ๆ จึงร้อนแทบจะรีดผ้าได้เลย
ตั้งแต่จำความได้ ต้องใช้กล่องข้าวนี้ใส่ข้าวกลางวันไปกินที่โรงเรียนทุกวัน เกิดก่อนยุคข้าวโรงเรียน นมโรงเรียน ก่อนที่หลวงท่านจะรณรงค์ไม่ให้เด็กไทยโง่ด้วยการเทงบประมาณลงไปให้ผลาญกัน
ตอนเด็กประถม การยืนดูเพื่อน ๆ ที่ต่อแถวเข้ารับอาหารกลางวันของโรงเรียน โดยในถาดหลุมนั้นมีอาหารสองหลุม ขนมหวานหลุมหนึ่ง ข้าวอีกหลุม มันช่างเป็นการเหยียดชนชั้นอย่างที่สุด พวกเด็กที่เอาข้าวมากินเอง (สมัยนั้นคือ เชื่อว่าพ่อแม่ไม่มีฐานะ ไม่มีเงินให้ลูกมากินอาหารแบบนั้นได้ต้องห่อมาเอง) ก็จะรวมตัวกันในห้องบ้าง ตามนอกห้องบ้าง เราไม่มีโอกาสสะเออะไปนั่งกินในโรงอาหารแน่ ๆ (ไม่มีใครห้าม แต่มันเป็นชนชั้น) อาหารของแต่ละคนก็จะเอามาวางรวมกัน อร่อยบ้าง ไม่อร่อยบ้าง แต่ละคนก็จะมองไปยังของของเพื่อนว่า มันเอาอะไรมากิน เพื่อจะ”แบ่ง” ที่แบ่งไม่ได้ตะกละอะไร เพราะ อาหารที่ตัวเองเอามานั้น มันคืออาหารเดียวกับที่กินเมื่อเช้าที่บ้านเลย จะกินสองมื้อก็กระเดือกไม่ค่อยเข้า บ้านเราคนเยอะ พี่น้องหลายคน หลายปาก แม่คงไม่มีเวลาสามารถจะเตรียมสารพัดเมนู ให้กับทุก ๆ คนได้ เรากินเพื่อให้ไม่หิวก็พอแล้ว ปลูกบวบ ถ้าบวบออก ก็กินไปเหอะสามวันห้าวัน เมนูเดียว ต้มพะโล้ทีนึงหม้อใหญ่ไข่สามสิบฟอง กินให้ฟันเหลืองไปเลย น้ำเต้า ผักบุ้ง ถั่วงอก เปล่า ไม่ได้หวังว่าลูก ๆ จะต้องกินผักแข็งแรง แต่เพราะมันถูกและเร็ว ผัด ๆ แป๊บเดียวกินเข้าไป แต่งตัวไปโรงเรียนได้แล้ว
กล่องข้าวที่ว่านี้ มันใส่ของ”น้ำ”ไม่ได้ ต้องแห้ง หรือ ขลุกขลิกเท่านั้น เพราะมันจะหกเลอะออกมาข้างนอก ถุงพลาสติคยังไม่ต้องพูดถึง มันคือของหายาก ซื้อของยังห่อใบตอง ห่อหนังสือพิมพ์อยู่เลย การจะเอาของไปกินในกล่องเข้าว จึงต้องมีเทคนิค เล็กน้อย ถุงที่จะถือไปก็ต้องวางแนวนอน ตะแคงเมื่อไหร่ น้ำมันออกมาเหนียวหนืด ข้าวจะกินไม่ได้เกือบ ๆจะบูดเอานั่น คนเอาข้าวมากินจึงสังเกตง่าย มันจะถือถุงข้าวกลางวันมาด้วย และนั่นแหละ คือ เพื่อนของเราตอนเที่ยง
ไม่รู้ทำไมทำให้รู้สึกว่า การเอาข้าวมากินมันช่างน่าน้อยใจ ทำไมพ่อแม่ไม่ให้เรากินรวมกับเพื่อนๆ ใน”โรงอาหาร” อันแสนอร่อย และน่าจะมีความสุขมาก ๆ คำว่า”พอเพียง” “ประหยัด” ยังไม่เกิดในหัว คิดแต่ว่าโลกนี้ไม่ยุติธรรมเลย จนมาถึงสมัยมัธยมต้นและปลาย เราก็ยังกินข้าวจากกล่องอย่างนี้ไม่เปลี่ยน จนกล่องบู้บี้ เปลี่ยนเป็นทัพเพอร์แวร์ก็มี
ในช่วงหลัง การรวมกลุ่มหลังห้องยังเหมือนเดิมกินแล้วก็นั่ง ๆนอนๆ ในห้อง ไม่”สะเออะ” ลงไปโรงอาหารกับเขา (เช่นเคย ไม่มีใครห้าม) แต่อาจจะมีวันพิเศษที่ขอแม่ไว้บ้าง “วันกิจกรรม” ต้องบอกแม่ว่า จะกลับมากินบนห้องไมได้ ขอเงินเพิ่มไปกิน “ข้าวราดแกง” (ที่โรงเรียน ยังจำชื่อได้ ข้างแกงเจ๊หลั่น) จานละห้าบาท แม่คงจะไม่เข้าใจว่าทำไมมึงไม่เอาข้าวลงไปกินตอนกิจกรรมล่ะ แต่ก็จะยอมให้งดการเอาข้าวไปกินสักวัน ให้ไปกินกับเพื่อน ๆ “ในโรงอาหาร” มันช่างเท่ห์จริง ๆ ข้าวแกงเจ๊หลั่นมีผัดกะเพรา ผัดกะเพราที่ไม่เหมือนที่เรากิน มันจะใส่ถั่วฝักยาวสั้น ๆ ลงไปด้วย ผสมกับหมูสับ เห็นแล้วมันช่างน่ากินบนจานข้าวพูน ๆ ที่บ้านเราแม่ผัดกะเพราไม่เห็นใส่เลย มีแต่หมูแล้วก็พริก โรยด้วยใบกะเพราเท่านั้น โตมาถึงรู้ว่ามึงโดนหลอกสูตรกะเพรามาซะนาน หลัง ๆมีข้าวโพดอ่อนด้วย ไปเลอะเทอะ
ผ่านมากี่ปี ความรู้สึกของการนั่งกินข้าวร่วมกับเพื่อน ๆ หลังห้อง อาหารคนละอย่างคนละถุง พูดคุยเล่นกัน สารพัดทะลึ่งโปกฮา ความรู้สึกมันยังอยู่ และยังถวิลหาตลอดเวลา โตมาแล้วพออยากจะกินอะไร ก็พอจะสรรกินได้ในวัยทำงาน กลับเป็นว่า คนทำงานเขานิยมเอาข้าวมากินเอง ใครเอามาได้แสดงว่ามีคนดูแล มีคนใส่ใจ เตรียมอาหารให้ ไม่ต้องเดินตากแดดหัวแดงไปแย่งกิน แย่งอยู่กับคนอื่น …. มันช่างกลับกันซะนี่…. เอา
วัยเด็กของฉันคืนมา…..
66688255_2455741437842853_7539115201732280320_n