Monthly Archives: October 2013

เคล็ดลับการโฆษณาชวนเชื่อ

คำพูดข้อคิด ที่เข้ากับสถานการณ์รอบๆตัวเราได้ดี ทั้งการเมือง การมุ้ง และ เรื่องใกล้ๆตัวแบบเรื่องในสังคมการทำงาน
วิธีนี้ทำกันมาแพร่หลาย ทุกยุคทุกสมัย ที่ทำให้คนหวาดระแวงกันเป็นก๊กเหล่า ป้อนข้อมูลที่ผิด ๆ อย่างต่อเนื่อง จนเชือเข้าไส้
ใครอยากลอง ลองไปเปิดทีวีดาวเทียม สีอะไรก็ได้ ทั้ง ฟ้า แดง หรือ เหลือง เปิดมันไว้อย่างนั้น 24 ชั่วโมง
ไม่ช้าไม่นาน เราจะรู้สึกเป็นพวกเดียวกับสีนั้น และ เกลียดชังอีกหลายสีอย่างเข้ากระดูก
คนที่ทำเช่นนั้นได้ เขาเป็นอ๋องทางการปกครองคนครับ ไล่ไปเลย สี่ซ้าห้าพันปี มีบุคคลแบบนี้ปรากฏในประวัติศาสตร์มากมาย
ระวังตัวเองให้ดี ใช้หลักกาลามสูตร อย่าเพิ่งเชื่อสิ่งที่เข้ามาในหู ให้มันได้วิ่งเข้าไปสู่ระบบประสาทและสมองของเราประมวลผลก่อนทุกครั้ง
Ak.

“If you tell a big enough lie and tell it frequently enough, it will be believed.” ~ Adolf Hitler (อดอล์ฟ ฮิตเลอร์)

แปลว่า “ถ้าโกหกมากพอ โกหกบ่อย ๆ เรื่องนั้นจะถูกเชื่อว่าเป็นความจริง”

คนที่โจมตีคนอื่นด้วยการใส่ร้ายป้ายสี มักจะสร้างเรื่องเหมือนโฆษณาชวนเชื่อ โดยมากจะอิงจากมูลความจริงบ้างบางส่วน เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือความเป็นไปได้ให้กับเรื่องที่จะใส่ร้าย และสิ่งสำคัญคือการแพร่กระจายเรื่องสู่คนที่อยู่ในกลุ่ม หรือคนที่อยู่รอบข้างของเหยื่อ เพื่อสร้างจิตวิทยาหมู่ไปกดดันเหยื่อ ให้เกิดการแตกแยกของเหยื่อกับคนในกลุ่ม

วิธีแก้ไข

ทำใจให้สงบ อดทนให้มาก อย่าโต้ตอบ ไม่กล่าวร้ายคืน เพราะอาจจะโดนมากขึ้น และยากที่คนอื่นจะเชื่อ เพราะคนจะปักใจเชื่อเรื่องแรกไปแล้ว ไม่เปิดรับฟังเหตุผลหรือคำอธิบายใดเพิ่ม
รักษาศีล รักษาสุขภาพกายใจ ให้แข็งแรงกว่าปกติ แล้วคิดหาหนทางแก้ และอุดช่องโหว่ เพื่อไม่ให้เขานำไปเป็นมูลเหตุแต่งเรื่องขึ้นมาอีก

เวลาและความจริงจะปรากฎโดยธรรมชาติของมันเอง

ความจริงของธรรมชาติ

ใครอ่านภาษาจีนออก ลองอ่านดูว่าใช่คำแปลไหม ใครอ่านไม่ออกให้ข้ามไปอ่านภาษาไทยเลย
ข้อความที่เป็นสัจพจน์ คือ เป็นความจริงเสมอ
ถ้าเราได้หมั่นตรวจสอบเรื่องราวของตัวเราเองบ่อยๆ
เราจะไม่อยู่บนความประมาท
เรื่องราวสั้นๆ ไม่เสียเวลาอ่านมากนัก ความหมายดีๆ (จะรู้สึกดีมากขึ้นเมื่ออ่านด้วยอายุสูงวัยขึ้นไป)
Ak

บทความนี้มาจาก web จีน มีเพื่อนแปลมาให้ มีความหมายดีมาก ws.
天不言自高,地不言自厚,没必要攀比,每个人都有自己的长处; 风有风的自由,云有云的温柔,没必要模仿,每个人都有自己的个性。 你认为快乐的,就去寻找; 你” 认为值得的,就去守候; 你认为幸福的,就去珍惜。 没有不被评说的事,没有不被猜测的人。 依心而行,无憾今生。 人生1条路: 走自己的路; 人生2件宝: 身体好、心不老; 人生3种朋友: 肯借钱给你、参加你的婚礼、参加你的葬礼; 人生有4苦: 看不透、舍不得、输不起、放不下。 人生5句话: 再难也要坚持,再好也要淡泊,再差也要自信,再多也要节省,再冷也要热情。 人生6财富: 身体、知识、梦想、信念、自信、骨气。

ฟ้ามีความสูงของฟ้า ผืนดินมีความลึกหนาของมัน
ไม่ต้องไปเทียบ เหมือนคน
แต่ละคนก็มีข้อดีของตัวเอง
ลมมีอิสระของลม
เมฆมีความอ่อนโยนของเมฆ
ไม่จำเป็นต้องเลียนแบบกัน
คนก็มีบุคคลิกของตัวเอง
สิ่งที่เห็นว่าสนุกก็ไปตามหา
สิ่งที่เห็นว่าคุ้มค่าก็ไปเฝ้ารอ
สิ่งที่เห็นว่าเป็นความสุขก็ควรหวงแหนไว้
ปฏิบัติตามจิตได้ ก็ไม่เสียใจในชาตินี้….

ชีวิตคนมี 1 หนทาง ทางเดินของตัวเอง
แต่มีของมีค่าอยู่ 2 อย่าง
สุขภาพกาย สุขภาพจิต

มีเพื่อน3 ประเภท ให้หยิบยืม,ร่วมงานมงคล,ร่วมงานโศกเศร้า

ชีวิตคนมี 4 ทุกข์
มองไม่ทะลุ
สละไม่ลง
แพ้ไม่เป็น
ปล่อยวางไม่ได้

คนเรามี 5 คำพูด
ยิ่งลำบากยิ่งต้องสู้
ยิ่งดียิ่งถ่อมตน
ยิ่งแย่ยิ่งต้องเชื่อมั่น
ยิ่งมียิ่งประหยัด ยิ่งหนาวเหน็บยิ่งมีน้ำมิตร

คนมีทรัพย์สมบัติอยู่ 6 สิ่ง
ร่างกาย. ความรู้. ความฝัน. ทัศนคติ. ความเชื่อมั่น. ความกล้าหาญ

วันนี้เป็นวันเพื่อนแห่งโลก. ส่งให้เพื่อนที่ดีที่สุดของคุณ คิดถึงใคร. ส่งให้คนนั้น!

Manager talk 20131012

สวัสดีครับ พบกันอีกครั้งหนึ่ง ผ่านกันไปอีกเกือบสองเดือนที่ไม่ได้โอภาปราศรัยกัน ข่าวสารมันมากมายสับสน แน่นอกต้องยกออกกันวุ่นวาย อาทิตย์ก่อนอังคารย้ายออกจากราศีมังกร เกิดปรากฏการณ์ห้องมืดไปสามห้องโดยไม่มีสาเหตุ สมคำร่ำลือและพยากรณ์จริง ๆ เพื่อพาออกไปนอกเรื่องจากที่มันยุ่งเหยิงวุ่นวายนี่ ผมจะพาไปย้อนอดีตกันดีกว่า เป็นการเล่าสู่กันฟัง เมื่อก่อนตอนเด็ก (ผมเคยเป็นเด็กมาครั้งหนึ่งนานมาแล้ว) ที่บ้านมาจากพื้นเพต่างจังหวัด เวลาจะทำอะไรเรื่องสร้างบ้านสร้างเมืองห้องหับ ก็ต้องไปตามช่างฝีมือมาจากบ้านนอก ต้องรอให้เขาหมดหน้านาจึงจะเข้ามาทำงานที่บ้านได้ ต้องเตรียมหาที่พักให้ แม่ก็ต้องเป็นธุระทำกับข้าวกับปลาหุงหาอาหารให้กินทั้งสามมื้อ มันก็ค่อนข้างจะยุ่งพอสมควร แต่ก็ไม่หนักหนามาก เพราะส่วนมากช่างที่เข้ามานั้น ก็จะเป็นญาติ ๆ กับเราทั้งนั้น เหมือนเลี้ยงดูกันเองนั่นเอง ค่าแรงก็ว่ากันเป็นวัน ๆ ไป คนนั้นช่างไม้ ช่างปูน ฯลฯ มีหัวหน้าทีมก็พิเศษหน่อย ของวัสดุทุกอย่างพ่อต้องเป็นธุระจัดหา ทั้งทำรายการ เสาะหาของที่จะซื้อ นั่งรถเมล์ตะลอน ๆ กันหลายยกกว่าจะได้ของครบทุกรายการ การจ้างงานด้วยวิธีนี้ เจ้าของบ้านเหนื่อยมาก เพราะทำไปนึกไป ไหนจะค่าของ ไหนจะค่าแรง บางทีช่างบางคนก็ต้องขอกลับบ้านไปธุระ เช่นช่างไม้กลับบ้านไป งานฝ้าก็ทำไม่ได้ เพราะ ไม่รู้จะไปเอาใครมาทำแทน รอกันไปมา นั่นโน่นนี่ จากทำบ้าน ก็กลายเป็นทำบานแทน เจ้าของบ้านกระเป๋าฉีก ช่างได้เงินไปตามแต่จะทำ เพราะจ่ายกันตามวัน วันไหนทำก็ได้ วันไหนไม่ทำก็ไม่ได้ (แต่กินข้าวได้ฟรี เพราะพักอยู่ด้วยกัน) สมันนั้นบัญชีต้นทุนยังไม่เพื่องฟู ไม่มีใครรู้ว่ากะปิน้ำปลา และ ค่าที่เจ้าของบ้านต้องดูแลที่อยู่หลับนอนให้นั้นเป็นเท่าไหร่ จริง ๆ ผมรู้สึกว่าชอบงานช่างขึ้นมาก็จากการที่พ่อปลูกห้องแถวครั้งนั้นนั่นแหละ สมัยถัดมา

เมื่อพ่อจะทำห้องแถวอีกที่หนึ่ง เราไม่ได้ใช้ช่างที่ต้องพามาจากบ้านนอกแล้ว เราเริ่มรู้จักว่ามี “ผู้รับเหมา” ที่เขารับทำงานก่อสร้างแบบนี้เลย ผรม.ที่ว่าเขาจะประกอบไปด้วยหมู่ช่างสารพัด เขาชี้ว่าเป็นอะไร ก็เป็นตัวนั้นทันทีเหมือนโขน เช่น บอกว่านั่นช่างไม้ ส่วนเมียนั่นกรรมกรผสมปูน เรียงอิฐ และ นั่นลูกชายเขาเป็นช่างปูน ฯลฯ เขาพูดงี้ก็ต้องเชื่อ เพราะเราซื้อชื่อชั้นเขา ผรม.แบบที่สองนี้ตีราคางานจากประสบการณ์ว่าต้องใช้เวลาทำงานเท่าไหร่ ช่างสักกี่คน โสหุ้ย เดินทาง กินอยู่ นั่นโน่นนี่ แล้วบวกกำไรเข้าไป ก็จะบอกเราว่าเขาจะ”รับเหมา”งานนี้ด้วยราคาเท่าไหร่ ส่วนของและวัสดุนั้น เขาจะทำรายการให้ เจ้าของบ้านจะให้เขาซื้อ(ติดต่อ)และให้มาส่งที่หน้างานก็ได้ หรือ จะไปซื้อเองก็ได้ ทั้งสองทางเลือกนั้นเจ้าของบ้านต้องเป็นคนจ่ายเงินกับร้านค้านั้นเอง เมื่อแรกที่ทำมันก็ดูเหมือนจะเข้าท่ากว่าแบบเดิม ๆ ที่ยังคงเจ็บ ๆ ไม่หายกับการสร้าง “บาน” คราวก่อน แต่พอเริ่มงานเข้าสักหน่อยเริ่มมีเรื่องแปลก ๆ เกิดขึ้น ขอเบิกเงินล่วงหน้า อันนี้เป็นประจำ ทั้งค่านมลูก ค่านั่นโน่นนี่ ค่าแรงค้างเก่าจากที่เดิมเงินยังไม่ออกต้องเอาที่นี่ไปปะก่อน ฯลฯ พอพ่อให้ไปก็ต้องมาคอยเป็นกังวลเพราะงานที่ทำได้จริง ๆมันน่าจะยังไม่ถึงมูลค่านั้น หากผรม.เชิดงาน คือ ไม่มาอีกเลย เราก็จะแย่ แล้วก็จริงตามคาด ผรม.หายตัวไปอย่าลึกลับ พร้อมกับงานที่ไม่ได้เรื่องราว คาดว่าไอ้สมาชิกทีมช่างที่มาปรากฏตัวให้เห็นนั้น คงจะเป็นพวก”ปลอม”เกือบทั้งหมด ส่วนไอ้ค่านม ค่านั่นโน่นนี่ ก็ไม่แคล้วค่าเหล้า หรือ หนี้สินต่าง ๆ ประดามี เป็นบทเรียนของการเชื่อคนง่ายเกินไป ไม่นานเราก็ได้ผรม.ใหม่เข้ามาดูหน้าค่าตาโหงวเฮ้งกันเรียบร้อย ก็ตกลงประเมินราคากันใหม่ เพราะทำรายการซื้อของกันอีกรอบ บทเรียนที่เราได้จากผรม.แบบนี้อีกก็คือ งานที่อาจจะด้อยคุณภาพในบางพื้นที่เพราะเราไม่รู้เลยว่าเขาเป็นช่างจริง ๆ ไหม เห็นทำได้ก็ทำ เราจึงได้งานปูกระเบื้องโย้แนวแบบแอบสแตรคโดยไม่ตั้งใจ ได้ผนังฉาบไม่เรียบและเป็นแอ่ง ๆ จากช่างปูนฝึกหัด ถ้าจับได้ไล่มันก็ต้องรื้อแก้ ช่างก็จะโวยวายว่าเสียค่าแรงบานปลาย แต่จริง ๆ ค่าของที่ต้องทิ้งทำใหม่ล่ะ ก็เงินเจ้าของบ้านทั้งนั้น ปัญหาการเบิกเงินล่วงหน้าและ การซูเอี๋ยกับร้านค้า รับของไม่เต็ม หรือ ทำรายการผี มีทุกชนิด ผมคุ้นเคยกับเรื่องการทุจริตมีนอกใน ซิกแซก จากพฤติกรรมของผู้มีพระคุณเหล่านี้ ผมเรียนรู้จากเขา เขาคือครูของผมคนหนึ่ง แม้ว่าผมจะไม่อยากพบเจอคนที่ทุจริตคิดคดเลยก็ตามแต่ก็ต้องอยู่ร่วมกันไป ผมยังเด็กในตอนนั้น ไม่ได้รู้เรื่องราวของค่าใช้จ่ายมากมาย แต่คาดว่าคงจะบานไม่แพ้กัน

ครั้งที่สามที่บ้านผมทำงานก่อสร้างคือการรื้อบ้านไม้ที่พ่อกับแม่อยู่กันมา ปลูกเป็นบ้านตึกสำหรับลูก ๆ ที่จะโตกันขึ้น ครั้งนี้พ่อแม่คงจะเข็ดกับการนั่งปวดกบาลกับผรม.ทั้งสองแบบ เขาเลือกที่จะใช้ผรม.ที่รับปลูกบ้านในพื้นที่ของเราเลย ทุกสิ่งทุกอย่างเขาดูแล ทั้งผู้รับเหมาช่วง วิศวกร สถาปนิก แบบก่อสร้าง ค่าของวัสดุ ทั้งเกรดเอ บี ซี ตามแต่ลูกค้าต้องการ เจ้าของบ้านขอให้มีเงินที่จะจ่ายให้กับเขาตามการส่งมอบงานเป็นงวด ๆก็พอ วิธีนี้ ดูเหมือนจะต้องใช้เงินก้อนโต หากเราไม่เคยต้องเผชิญความเจ็บปวดจากทั้งสองวิธีมาก่อน มันคงจะดูแพงมาก แต่ครั้งนี้เราเลือกวิธีนี้กันเลย อุปสรรคที่พบก็จะมีไปอีกแบบ เช่นการเล่นลิงชิงบอลกันของผรม.ช่วง วันนี้เทปูก็แห่กันมาบ้านเรา พรุ่งนี้อีกหลังที่รับไว้ทำรั้ว ก็แห่กันไปโน่น บางวันไม่มีช่างเข้ามาเลย เจ้าของบ้านต้องโทรตามประสานกันวุ่นวายว่าช่างหายไปไหน นอกจากนั้นก็จะมีผรม.เปลี่ยนหน้ากันไปมา มีทั้งดีทั้งไม่ดี เราควบคุมไม่ได้เลย บางวันพบคนแปลกหน้ามาเดินเก็บผลไม้ในสวนหลังบ้าน ก็เป็นหนึ่งในลูกหลานที่พากันมาช่วยงานของผรม.ต่าง ๆ งานแก้ไขก็มีเช่นเคย ทั้งการทำผิดแบบ ทั้งเกิดจากการเข้าไปชี้นำของเจ้าของบ้าน ทำให้ช่างสับสน งุนงง การไม่ทำงานตามแบบ ฯลฯ สำหรับงานครั้งนี้ ผมโตขึ้นมาหน่อยแล้ว และได้เริ่มรู้ว่าการตรวจสอบงานตามลำดับขั้นตอน และ แบบก่อสร้างนั้น เป็นอย่างไร งานผ่านไปด้วยดี งบประมาณตามที่กะไว้ ไม่รวมงานต่อเติมที่ผรม.มาขอตอดกินทีหลังอีก แต่ก็เป็นความยินดีที่จะให้ ประมาณรู้ว่าหลอกก็เต็มใจให้หลอกนั่นเอง งานล่ากว่าที่กำหนดไปพอสมควร ก็อย่างที่บอกช่างวิ่งวนกันเป็นงูกินหางเลยงานก็เลยยืดเป็นหนังสะติ๊ก เพื่อความหมดปัญหาแก่ก่อนวัย

พอผมเติบใหญ่พอที่จะก่อร่างสร้างตัวได้ เมื่อผมต้องสร้างบ้านช่องของตัวเอง ผมเลือกอีกวิธีหนึ่ง นั่นคือไปดูทำเลที่เราอยากอยู่ มองหามืออาชีพที่เขา “จัดสรร”ที่ดินและปลูกบ้านสำเร็จขายกันเลย เรื่องนี้สำคัญมากในภายหลังครับ ทำเลนั้นภายในกาลต่อมาเราจะพบว่าผู้คนที่ทำงานคล้าย ๆกัน เหมือนกัน จะอยู่ในบริเวณเดียวกัน เปรียบก็เหมือนในหมู่บ้านแถวสัตหีบเรา เพื่อนบ้านน่าจะประมาณเดียวกันว่าทหาร หรือ ข้าราชการฐานทัพต่าง ๆ ที่ทำงานแถวนี้ หรือ อาจจะเป็นกลุ่มที่ทำงานในนิคมฯคล้าย ๆ กัน พฤติกรรมของคนก็จะคล้าย ๆ กัน เช่น รับเงินเดือนเวลาไล่เลี่ยกัน ได้เงินปลายปีเหมือนกัน โรงงานน้ำท่วมเหมือนกัน ฯลฯ นอกจากนี้คนบริวารของเขาเหล่านั้น ลูกเมียก็จะเม้าท์มอยในเรื่องคล้าย ๆ กัน ฯลฯ ชื่อชั้นของหมู่บ้านบริษัทก็เป็นการแบ่งแยกกลุ่มคนได้เช่นกัน แฟนนาวีเฮ้าส์ก็กลุ่มหนึ่ง แฟนสิริสาก็อีกกลุ่มหนึ่งเป็นต้น ผมเลือกแลนด์แอนด์เฮ้าส์ ด้วยชื่อชั้นและทำเลที่เขาสร้างมา ทีมงาก็มีมาตรฐานดี ไม่ขูดรีดเงิน วัสดุที่ใช้ก็สมเหตุสมผลประตูไม้เต็ม ไม่เหมือนบางที่ช่วงหลัง ๆเคาะประตูห้องเรียกกันเสียงก้องโหวง ๆ ยังกะเค่าโลงศพน่ะ จะประหยัดกันไปไหนไม่รู้ แต่ก็มิวายจะโดนหลอกล่อเรื่องการโอนค่างวด โดยที่ยังเก็บงานไม่เสร็จ จะทำ ๆ ๆ แล้วก็เลื่อนไปเรื่อย เรียกว่าถ้าไม่ย้ายเข้าอยู่กันจริง ๆ ล่ะก็ยังเก็บไม่เสร็จอยู่นั่น บ้านนี้ผมผ่อนแทบรากเลือดจนมาหมดเอาเมื่อได้เข้าทำงานกลับคลัฟนี่เอง ผมส่งบ้านหมด และ ผ่อนรถหมดได้หนึ่งคัน ก็ที่นี่ บางคนเคยบอกผมว่าก็เราเอาแรงเข้าแลกนี่นา ก็จริงอยู่ แต่ถ้าทำงานที่อื่นนั้นผมอาจจะไม่สามารถผ่อนแลนด์แอนด์เฮ้าส์ไหว หรือ อาจจะผ่อนรถได้แค่สองล้อไม่สามารถหมดทั้งคันแบบนี้ ผมรู้สึกขอบคุณที่นี่มากสำหรับเรื่องนี้ ไม่ต้องเลีย ไม่ต้องประจบ ผมคิดอย่างนั้นจริง ๆ

ทั้งหมดที่ผมเล่ามา เพื่ออะไร ??? นั่นสิ น่าสนใจ ผมเล่ามาเพราะมันเข้ากับเรื่องราวแน่นอกต้องยกออกตอนนี้ ด้วยการเลื่อนไหลขององค์ความรู้ (ขอใช้คำเท่ห์) และ นวัตกรรมต่าง ๆ ในการทำงานของเราปัจจุบัน ทุกสิ่งทุกอย่างของเรื่องที่ผมเล่าได้ถูกนำมาสนธิกัน ทำอย่างไรงานจะเสร็จตามเป้าหมาย ทำอย่างไรจึงจะไม่”บาน” การทำงานแบบผรม.ชั้นเทพที่เราเป็น ใช้แรงงานราคาแพง เพื่อทำงานราคาดี ก็น่าจะได้ผลงานที่ดี และ กำไรที่ดีจะตามมา ทุกคนน่าจะมีความสุขแบบวิธีด้านบนที่ผมบอกมา แต่มันไม่ใช่อย่างนั้นน่ะสิ เมื่อทั้งสองฝั่งเห็นตรงกันว่า งานก็ไม่ไปไหน เงินก็บานไปเรื่อย ๆ ทั้งปลุกใจ ปรับเงิน โฆษณาชวนเชื่อต่างๆ นาน ๆ ก็แล้ว (เราจะไม่พูดถึงการใช้ the right man on the right job ในเรื่องนี้) วิธีใหม่ ๆ จึงถูกนำมาพิจารณา วิธีนั้นก็คือ ทั้งสองฝ่ายลงมานั่งวิเคราะห์ปริมาณงาน แผนงานกันใหม่ ทำอย่างไรจะเสร็จตามเวลา ต้องใช้คนเท่าไหร่ นานแค่ไหน และต้องการอะไรมาสนับสนุนบ้าง นั่นโน่นนี้ ของอะไรยังไม่ได้ซื้อ ต้องซื้อต้องจ่ายอะไรอีกบ้าง คล้าย ๆกับการเอาต้นทุนมากางพืดกันเลย ซื้อใจกัน แล้วผู้ว่าจ้างก็จะตกลงปลงใจที่จะเข้ามารับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดให้เอง เท่ากับผรม.ไม่ต้องลงทุนอะไรด้วยตัวเองเลย ลดความเสี่ยง แค่ใช้สติปัญญาความสามารถที่มีผลักดันงานให้ได้ตามที่บอก พร้อมรับส่วนต่างกำไรไปเหนาะ ๆ ดูก็เหมือนง่ายดี ไม่น่าจะซับซ้อนอะไร และก็น่าจะดีต่อกันทั้งสองฝ่าย ทางผู้จ้างงานก็จะได้งานเน้น ๆ มานั่งจี้นั่งไชทุกจุด เพราะถือว่าเขาจ่ายทุกบาททุกสตางค์ ต้องรีดแรงม้าออกมาให้มากที่สุด ขณะเดียวกันก็มาตามจี้ตามไชว่าตรงนั้นย่อหย่อน ตรงนั้นนั่นโน่นนี่ เมื่อจะเอาตังค์เค้าก็ต้องทำตามที่เค้าบอก ไม่สามารถเอาช่างไม้มาหลอกว่าเป็นช่างปูน หรือ เอากรรมกรมานั่งเป็นผู้บริหารได้อีกต่อไป แต่ก็ใช่ว่าจะมาทำอะไรได้ตามอำเภอใจ เพราะมีข้อตกลงกันอยู่ว่าจะทำงานนั้นแล้วเสร็จตามที่ต้องการ ทั้งคุณภาพ และ ปริมาณต้องมีอะไรบ้าง เช่น ถ้าบอกว่าต้องมีรปภ.สี่คน ก็ต้องสี่คน จะมาขอทีหลังว่า ไม่เห็นทำอะไรเลย เอาไว้สองพอ อย่างนี้ไม่ได้ เพราะจะเป็นเหตุให้ของหายแล้วต้องมาตามรับผิดชอบกันวุ่นวายเปล่า ๆ เพราะผิดข้อตกลงกันในเบื้อต้นเอง ดังนั้นเรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ไม่มีอะไรได้มาฟรี ๆทุกอย่างต้องมีการกำหนดกฏเกณฑ์เอาไว้ ในสภาพที่บริษัทไม่มีอะไรจะเสียแล้ว และ ไม่มีงานในอนาคตอีกเพราะกำลังจะเปลี่ยนมือเจ้าของใหม่ในต้นปีหน้านี้ การเอางานหมดหน้าตักเข้าวิธีการทำงานแบบนี้ก็นับว่าเป็นศาสตร์ชั้นอ๋องจริง ๆ เช่นเดียวกัน เมื่อทั้งผู้ว่าจ้าง และ ผู้ถูกจ้างรู้แล้วว่ากำลังนับถอยหลัง หากไม่ทำอะไรเลยนั้นไซร้ ใครจะอยากอยู่เคียงบ่าเคียงไหล่จนจบงานล่ะ ดังนั้นไม่มีอะไรดีไปกว่าการสร้างขวัญและกำลังใจเพื่อคนทำงานด้วยการให้สิ่งตอบแทนในบั้นปลายไม่วิธีใดก็วิธีหนึ่ง สำหรับคนทำงานนั้น ไม่ว่าจะทำจนวันสุดท้ายก็จะทำ คนไม่ทำจะทำอย่างไรมันก็ไม่ทำ ฝรั่งมีคำบอกว่า คุณไม่สามารถจะดันตูดใครขึ้นบันไดได้ หากเขาไม่เต็มใจปีนขึ้นไปเอง ก็เหมือนกันครับ ผมเองเคยมีประสบการณ์ที่อื่นที่ทำงานกันจนนาทีสุดท้าย คือเซ็นต์เอกสารจบ มีคนมารอขนโต๊ะเก้าอี้ตัวนั้นไป เพราะขายต่อให้พนักงานประมูลไปแล้ว ออกจากออฟฟิศตึกแถว ดึงประตูลง ล็อคกุญแจแล้วส่งกุญแจคืนให้เจ้าของตึก ออกจากที่นั่นมาแบบไม่ต้องหันไปมองเหมือนพจมานออกจากบ้านทรายทองยังไงอย่างนั้น มันเป็นความทรงจำที่ดีมาก ๆ ครับ เพราะงานสำเร็จได้มือเราที่มีส่วนร่วมจนนาทีสุดท้าย

กระแสการทำงานในอนาคตนั้น (ที่อื่นนะ ไม่ใช่ที่นี่) จะไม่ใช่กระแสสมยอมหรืออลุ้มอล่วยกับผู้ย่อหย่อนในวินัยหรือความสามารถ แต่ตรงกันข้ามจะเป็นการบริหารจัดการคนเก่ง ๆ การทำงานร่วมกับคนเก่งนั้นต้องใช้การจัดการอีกรูปแบบเพื่อให้เขาคายพิษสงออกมาให้เต็มที่ หากยังมัวงุนงงกับการบริหารงานที่คิดว่าคนโง่ หรือ ขี้เกียจเต็มไปหมด เราก็จะได้ผลลัพธ์การทำงานอีกแบบ มองไปไกล ๆ ครับ เราจะเห็นวิธีการทำงานใหม่ คิดค้นการทำงานประสานกันแบบใหม่ คนมีสองมือเท่านั้นจะทำมากทำเร็วอย่างไรก็ได้แค่นั้น แต่การทำงานร่วมกันนั้น ผลลัพธ์จะไม่ใช่เป็นจำนวนเท่าของจำนวนคน มันอาจจะเป็นผลของเลขยกกำลังสองของจำนวนคนครับ อย่าดูถูกความสามารถของทีมงานที่ประกอบกันด้วยคน ไม่งั้นเราไม่อยู่กันมาได้ถึงห้าหมื่นปีครับ หลายองค์กรตอนนี้เริ่มมีโปรแกรมเพื่อบริหารจัดการคนเก่งๆ โดยเฉพาะ คนเก่งนั้นถือว่าตัวเองมีดี (“มีดี” ไม่ใช่”อวดดี” พวกนั้น ไม่มีอะไรดี จึงต้องอวดครับ) การถูกกำหนดแบบตีกรอบมากจะไม่สามารถเหนี่ยวรั้งเขาไว้ได้ ต้องให้อิสระทางความคิดและการทำงาน แต่ก็อย่างว่าครับมันเป็นศิลป์ไม่ใช่ศาสตร์ พวกที่คิดว่าทุกอย่างต้องเท่าเทียมกันก็จะบอกว่าทำไมไม่เหมือนกันอีก ทีเขาทำงานเก่ง ๆ แต่ตัวไม่ทำไม่เห็นว่างั้นบ้าง นั่นแหละคนครับ มนุษย์ขี้เหม็นแบบเรา ๆ ท่าน ๆ นี่แหละ น้องๆที่กำลังเติบโตไปในการทำงาน เลือกที่จะเก่งงานจะมาหาเราเอง เลือกที่จะไม่เก่งก็จะถูกบังคับกดขี่ต่อไปครับ คำว่า”เก่ง”มันไม่ออกมาจากมดลูกพร้อมกับเรา มัน”สร้าง”ได้ครับ ทำมากได้มาก โบราณบอกไว้ ไม่ทำอะไรเลยแล้วเก่งนั้นผมยังไม่เคยเจอ เทรนด์การจ้างงานโดยผ่านเอ้าท์ซอรสมาแรงในช่วงนี้ งานเป็นสัญญากำหนดเวลา ไม่มีอะไรแน่นอนมากขึ้นเรื่อย ๆ งานประจำก็จะมีการประเมิน ๆ ๆ เขย่า ๆ ๆตลอดเวลา ใครรั้งท้ายห้าอันดับ มีแววตกดิวิชั่นสูงครับ NO FREE LUNCH เหมือนภาษิตปะกิตครับ

ในเวลาอีกไม่นานงานที่เราทำอยู่ก็จะเสร็จสมบูรณ์ ผมอยากเป็นส่วนร่วมของความสำเร็จนั้น ผมอยากเห็นวันที่มันถูก Load ออกไป แม้หากผมอาจจะอยู่ไม่ถึงเพราะอาจถูกยกออกตามกำหนดการก่อน หากเป็นไปได้ก็อยากจะกลับมาดูครับ ผมคิดว่าพวกเราทั้งหมดก็น่าจะรู้สึกเช่นเดียวกัน

บุญรักษา

การมีอายุยืน (คัดลอกโซเชียลเนตเวิรค)

นิตยสาร Time เขียนบทความเรื่องการมีอายุยืนไว้ได้น่าสนใจ และบางข้อก็ทำให้เราตะลึง

1. ความร่ำรวย
แม้ว่าความร่ำรวยช่วยทำให้เราเข้าถึงบริการทางสุขภาพที่เหนือกว่า แต่ว่ามันยังมีอะไรเหนือกว่านั้น

นักวิทยาศาสตร์ที่ University College London พบว่าคนรวยมีฮอร์โมน dehydroepiandrosterone sulfate (DHEAS) สูงกว่าคนที่ไม่รวย และฮอร์โมนตัวนี้เป็น Steroid ธรรมชาติที่ผลิตออกมาจากต่อมหมวกไตกับสมองของเราที่เชื่อมโยงกับความมีสุขภาพที่ดี เช่นมีความทรงจำที่สมบูรณ์ มีความเสี่ยงต่ำที่จะเกิดอาการเส้นโลหิตตีบตัน และทำให้มีอายุยืนยาวมากขึ้นโดยเฉพาะสำหรับคุณผู้ชาย

ดังนั้น ฝรั่งเขาถึงนึกว่าคนรวยมีโอกาสอายุยืนยาวกว่าคนจน

แต่สำหรับคนไทย ถ้าไม่รวยก็อย่าไปใจเสีย เพราะเรื่องอาจเป็นตรงกันข้าม เนื่องจากความรวยทำให้เราขี้เกียจออกกำลัง แถมยังใช้ชีวิตที่สุ่มเสี่ยงมากกว่าตอนจนๆ เช่น ทานอาหารไม่บันยะบันยัง ใช้ชีวิตที่ล่อแหลมต่อสุขภาพ เป็นต้น ซึ่งนั่นละคือการบั่นทอนอายุขัยของเศรษฐีไทย

2. คลุกคลีกับสาวๆ จำนวนมาก
นักวิจัยของ Harvard University ค้นพบว่าผู้ชายที่เกิดอยู่ในครอบครัวที่มีผู้หญิงน้อยๆ จะเสียชีวิตไวกว่าผู้ชายที่ถูกเลี้ยงดูท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่มีผู้หญิงจำนวนมาก และยิ่งมีอัตราส่วนผู้หญิงมากกว่าผู้ชายเท่าไร ผู้ชายก็ยิ่งมีโอกาสเลือกผู้หญิงที่เขาอยากใช้ชีวิตร่วมกันไปจนแก่เฒ่าได้มากเท่านั้น และมันทำให้ชีวิตเขายืนยาวมากขึ้นเมื่อได้คนรักที่รู้ใจกันมาเดินร่วมทางกันไปตลอดอายุขัย ดีกว่าไม่มีตัวเลือกแล้วต้องทนกับผู้หญิงที่บั่นทอนความอยากดูโลกของเขาไปทุกวันๆ

เรื่องนี้หากคิดในแง่ดี เราอาจจะอนุมานได้ว่าเป็นเพราะผู้หญิงมีธรรมชาติในความเป็นแม่ที่จะดูแลประคบประหงมคนรอบตัวเธอก็ได้ น่าเสียดายที่งานวิจัยครั้งนี้ไม่ได้ระบุอายุผู้หญิงที่แวดล้อมว่ามากกว่า น้อยกว่า ผู้ชายหรือไม่ อย่างไร

3. แต่งงานแล้วอายุยืนกว่าขึ้นคาน
งานวิจัย 900 ชุด กับผลวิเคราะห์จากกลุ่มตัวอย่าง 500 ล้านคน ระบุว่า ผู้ชายที่แต่งงานมีอายุยืนยาวกว่าชายโสด 10 ปี ในขณะที่ผู้หญิงที่แต่งงานจะอายุยืนกว่าสาวโสด 4 ปี ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ระบุว่าเหตุผลหนึ่งที่ทำให้คนโสดอายุไม่ยืนเท่าก็คือเขาขาดคนคอย Support ทางจิตใจ เพราะใครก็ให้ไม่ได้ดีเท่าคู่ชีวิต

4. การมีปู่ย่าตายายที่รักสุขภาพตนเอง
งานวิจัยนี้ทดสอบกับหนูทดลองหลาย Generation และผลของมันชี้ว่าหากปู่ย่าตายายชอบทานอาหารฟาสท์ฟู้ด รุ่นหลานจะมีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งมากขึ้นแม้หลานๆ จะเป็นพวกรักสุขภาพก็ตาม

5. มีเพศสัมพันธุ์ที่ดีให้มากขึ้น
นักวิจัยจาก Queens University ที่ Belfast ฟันธงว่า การมีเพศสัมพันธุ์ดีๆ ให้บ่อยครั้งขึ้น ทำให้ผู้ชายอายุยืนกว่าผู้ชายที่เหี่ยวแห้งหัวโตถึง 1 เท่า ทั้งนี้ เกิดจากการติดตามพฤติกรรมผู้ชายวัยกลางคนจำนวน 1,000 ราย เป็นเวลาถึง 10 ปี

อย่างไรก็ดี การศึกษานี้ไม่ได้บอกว่านับรวมการมีเพศสัมพันธุ์กับคนอื่นที่ไม่ใช่ภรรยาตนเองหรือเปล่า เพราะหากเป็นเช่นนั้นก็มีโอกาสสูงที่จะอายุสั้นลงเป็นเท่าตัว และก็น่าเสียดายที่งานวิจัยนี้มุ่งเน้นไปที่เพศชายเท่านั้น

6. ร้องเพลงประสานเสียง
George Washington University กับ The National Endowment for the Arts ทำการวิจัยร่วมกัน ได้ผลว่า นักร้องในวงประสานเสียงมีสุขภาพกายใจที่ดีกว่า ไปหาหมอน้อยกว่า มีความกดดันน้อยกว่า และมีอายุยืนยาวกว่านักร้องเดี่ยว นอกจากนี้ งานวิจัยของ University of London ยังระบุด้วยว่าการร้องเพลงไม่ว่าจะ แบบไหน ช่วยลดความกดดัน ลดความเครียด และช่วยทำให้ปอด หัวใจ กล้ามเนื้อหลัง กับกระบังลม ได้ออกกำลังกายเวลาร้องเพลง ทำให้มีสุขภาพกายและใจดีขึ้นด้วย

เรื่องนี้มีข้อสังเกตุเพิ่มเติมว่า การร้องเพลงร่วมกันหลายๆ คน มักจะทำให้คนมีความสุขมากกว่าการร้องเดี่ยว ยิ่งสามารถประสานเสียงได้ดี ก็ยิ่งทำให้ทุกคนมีความสุข จะยกเว้นก็ในเวลาที่มีคนโชว์เดี่ยวแล้วมีคนมาแจมด้วยเสียงที่ไม่เข้าจังหวะ เสียงตะโกนร้องเข้าไมค์ หรือเสียงที่น่าสยดสยอง

7. น้ำหนักเพิ่มสักหน่อย
ผลการวิจัยของ Kaiser Permanente ที่ Portland, Oregon ที่ทำกับกลุ่มตัวอย่าง 11,326 ราย เป็นเวลานานถึงกว่า 10 ปี พบว่าพวกที่เพิ่มน้ำหนักมากขึ้นกว่ามาตรฐานมีอายุยืนกว่าคนที่มีน้ำหนักตามเกณฑ์ถึง 17% และสรุปว่าการเพิ่มน้ำหนักเกินขีดจำกัดสักหน่อย ทำให้ผู้ชราอายุยืนขึ้น และมีโอกาสเจ็บป่วยน้อยลง

8. ทำงานบ้าน
Cancer Research UK เปิดเผยงานวิจัยกับกลุ่มตัวอย่างสตรี 200,000 คนในช่วงกว่า 6 ปีไว้ว่า ผู้หญิงที่ใช้เวลาประมาณ 17 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ในการทำงานบ้าน เช่น ถูพื้น ทำอาหาร ซักรีด มีโอกาสเป็นมะเร็งทรวงอกน้อยกว่าคนขี้เกียจถึง 30% และงานบ้านลดความเสี่ยงจากการเป็นมะเร็งชนิดต่างๆ ได้มากกว่าการไปออกกำลังประเภทอื่นๆ

ข้อสังเกตุก็คือ งานวิจัยเหล่านี้เน้นไปยังกลุ่มผู้ชายมากกว่า ซึ่งน่าเสียดายมาก ยกเว้นข้อ 8 ที่กล่าวถึงข้อดีของการทำงานบ้านที่เขาเน้นไปที่ผู้หญิง

แต่อย่างไรก็ตาม นี่ก็เป็น 8 ตัวอย่างของงานวิจัยที่ช่วยทำให้พวกเราที่อยากดูโลกไปนานๆ ใจชื้นขึ้น ซึ่งก็ไม่พ้นจากการมีสุขภาพที่ดี 3 อย่าง ได้แก่ สุขภาพกาย สุขภาพใจ และสุขภาพทางการเงิน